พระคุณและการงานที่สำเร็จแล้วของพระคริสต์
เนื้อหาสำคัญของคำเทศนานี้คือพระคุณของพระเจ้า (God's Grace) ซึ่งหลั่งไหลมาสู่มนุษยชาติที่หลงหายผ่านการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน การงานของพระองค์นั้นสำเร็จแล้ว ปาฏิหาริย์และการเยียวยารักษาเกิดขึ้นได้ขณะที่พระวจนะกำลังถูกประกาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "พระคำของพระคริสต์" (Word of Christ) เพราะการได้ยินเกี่ยวกับพระเยซูจะนำมาซึ่งปาฏิหาริย์และความเชื่อ
เมื่อเราได้รับความรอดแล้ว เราจะรอดอย่างถาวรชั่วนิรันดร์ ความชอบธรรมของเรานั้นมาจากการเชื่อฟังของพระเยซูคริสต์แต่เพียงผู้เดียว (The Obedience of one man) ไม่ได้มาจากความพยายามหรือการเชื่อฟังของเรา เราเป็นคนบาปเพราะการไม่เชื่อฟังของอาดัม และเราเป็นผู้ชอบธรรมเพราะการเชื่อฟังของพระเยซู การเชื่ออย่างถูกต้อง (believe right) จะนำไปสู่การดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง (live right)
การปฏิเสธพระคุณและคำพยากรณ์ยุคสุดท้าย
การกลับใจ (Repentance หรือ Metanoia) ที่แท้จริงคือ การเปลี่ยนความคิดต่อพระเจ้า (change your mind towards God) โดยเชื่อว่าพระองค์ทรงอยู่ฝ่ายเรา ไม่ใช่เพียงแค่ความรู้สึกสำนึกผิด การปฏิเสธพระคุณถือเป็นบาปที่ร้ายแรงกว่าบาปของเมืองโสโดม
พระเจ้าทรงกำลังนำการปฏิวัติแห่งพระคุณ (Grace Revolution) ในยุคปัจจุบัน ซึ่งสอดคล้องกับการที่ชาวอิสราเอลกลับคืนสู่แผ่นดินของตนจากนานาประเทศ ในยุคนี้ พระเจ้าจะตั้งศิษยาภิบาล (Shepherds) ที่จะ "เลี้ยงดูและไม่เฆี่ยนตี" พวกเขา และข่าวสารที่จะถูกเทศนาคือ "พระผู้เป็นเจ้าคือความชอบธรรมของเรา" (Jehovah Tsidkenu) ซึ่งจะทำให้ผู้คนไม่หวาดกลัว ไม่ท้อแท้ และไม่ขาดแคลน
เปาโลกล่าวเตือนว่า การเทศนาพระกิตติคุณอื่นที่ไม่ใช่พระคุณของพระคริสต์ (a different gospel) จะนำมาซึ่งคำสาปแช่งสองเท่า (double curse) เพราะการกระทำดังกล่าวเป็นการขัดขวางการเผยแผ่พระกิตติคุณและทำร้ายผู้คน
พระธรรมมาลาคีบันทึกเหตุการณ์ประมาณ 100 ปีหลังอิสราเอลกลับจากการพลัดถิ่นบาบิโลน. แม้พระวิหารจะสร้างเสร็จ แต่ความหวังถึงอาณาจักรพระเมสสิยาห์และความยุติธรรมยังไม่สำเร็จ. ประชากรยังคง ไม่ซื่อสัตย์และเต็มไปด้วยความสงสัย ในความรักของพระเจ้า.
พระธรรมนี้ถูกออกแบบเป็น ชุดข้อพิพาท 6 ข้อ. ข้อพิพาทเปิดเผยถึงปัญหาหลัก ได้แก่: การ ดูถูกพระวิหาร ด้วยเครื่องบูชาที่มีตำหนิ; การ หักหลังพระเจ้าและคู่สมรส ผ่านการกราบไหว้รูปเคารพและการหย่าร้าง; การ ไม่ถวายสิบลด; และความเชื่อว่า การรับใช้พระเจ้านั้นเปล่าประโยชน์.
ประชากรสงสัยในความยุติธรรมของพระเจ้า. พระเจ้าทรงตอบโดยสัญญาว่าจะส่งผู้ส่งสารมาเตรียมทางสำหรับการมาของพระองค์ใน "วันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า". วันนั้นจะเป็นเหมือนไฟที่ ชำระคนชั่วร้าย แต่เป็น แสงแห่งการเยียวยา สำหรับ คนสัตย์ซื่อกลุ่มน้อย. มาลาคีเน้นว่าการพลัดถิ่นไม่ได้เปลี่ยนใจอิสราเอลเลย พวกเขายังใจแข็งกระด้าง.
บทสรุปของมาลาคีไม่เพียงปิดท้ายพระธรรมเล่มนี้ แต่ยัง ปิดท้ายหมวดโทราห์และผู้เผยพระวจนะ. พระคัมภีร์ให้ความหวังถึงอนาคตที่พระเจ้าจะทรงส่งผู้เผยพระวจนะใหม่ (เหมือนโมเสสและเอลียาห์) มา ฟื้นฟูจิตใจ ประชากรและนำความยุติธรรมที่เยียวยารักษามา. นี่คือของขวัญจากพระเจ้าที่เชิญชวนให้เราอ่านและอธิษฐาน.
พระธรรมเศคาริยาห์ บันทึกเหตุการณ์ช่วงที่ชาวอิสราเอลกลับสู่เยรูซาเล็มหลังการพลัดถิ่นในบาบิโลน. เศคาริยาห์ท้าทายและผลักดันให้พวกเขาสร้างพระวิหารอีกครั้ง และแสวงหาพระสัญญาของพระเจ้าเรื่องการฟื้นฟูอาณาจักรของพระองค์และการปกครองโดยพระเมสสิยาห์. ช่วงเวลา 70 ปีที่พยากรณ์ไว้กำลังจะจบลง แต่พวกเขายังไม่เห็นพระสัญญาใดสำเร็จ.
พระธรรมนี้มีโครงสร้างเป็นสองส่วนหลัก: เริ่มด้วยคำนำ, ชุดภาพนิมิตขนาดใหญ่ในความฝันของเศคาริยาห์ (บทที่ 1-8), และบทสรุป จากนั้นตามมาด้วยชุดบทกวีและการพยากรณ์อีกสองชุด (บทที่ 9-14). นิมิตแรกถึงสุดท้ายเป็นเรื่องของคนขี่ม้าสี่คน, เขาของสัตว์และช่างฝีมือ, การวัดขนาดและการสร้างเยรูซาเล็มใหม่ที่บริสุทธิ์, ภาพของโยชูวาผู้มหาปุโรหิตที่ได้รับการชำระบาป, และต้นมะกอกสองต้นที่เป็นสัญลักษณ์ผู้นำที่เจิมไว้. นิมิตเหล่านี้รวมถึงการมมอบมงกุฎให้โยชูวา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระเมสสิยาห์ในอนาคต. นิมิตจะสำเร็จได้ต่อเมื่อผู้คนสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและเชื่อฟังพันธสัญญา.
ส่วนหลังของพระธรรมพยากรณ์ถึงการมาของกษัตริย์ผู้ถ่อมใจที่ขี่ลาเข้าเยรูซาเล็ม แต่พระองค์จะถูกปฏิเสธโดยประชากรของพระองค์เอง. บทสุดท้ายชี้ว่าเยรูซาเล็มใหม่จะเป็นสถานที่ที่ประชาชาติมารวมกัน และเป็นเสมือนสวนเอเดนใหม่. โดยรวมแล้ว พระธรรมเศคาริยาห์เชิญชวนให้มองพ้นจากความวุ่นวายและหวังในอาณาจักรของพระเจ้าที่กำลังจะมาถึง ซึ่งนำไปสู่ความสัตย์ซื่อในปัจจุบัน. สาระสำคัญคือ อาณาจักรพระเมสสิยาห์จะมาถึงเมื่อประชากรของพระเจ้าสัตย์ซื่อต่อพันธสัญญา.
พระธรรมฮักกัยเป็นพระธรรมเล่มเล็ก ๆ ที่บันทึกเรื่องราวประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาล หรือเกือบ 70 ปีหลังจากการถูกกวาดต้อนไปบาบิโลน. ผู้เผยพระวจนะฮักกัยเริ่มต้นด้วยการกล่าวโทษประชากรที่กลับมายังเยรูซาเล็มว่าให้ความสำคัญผิดที่ โดยพวกเขาใช้เวลาและทรัพยากรสร้างบ้านของตนอย่างอลังการ ในขณะที่พระวิหารยังคงเป็นซากปรักหักพัง. ฮักกัยชี้ว่าการละเลยนี้เทียบเท่ากับการละเมิดพันธสัญญา ซึ่งเป็นเหตุให้แผ่นดินไม่เกิดผลและพบกับความหมดหวังและความแห้งแล้ง.
เมื่อประชากรเริ่มสร้างพระวิหาร พวกเขาท้อแท้เพราะพระวิหารใหม่ไม่โอ่อ่าเท่าพระวิหารของโซโลมอน. ฮักกัยจึงย้ำเตือนถึงพระสัญญาอันยิ่งใหญ่เกี่ยวกับอาณาจักรแห่งอนาคตของพระเจ้าที่เยรูซาเล็มใหม่และพระวิหารจะเป็นศูนย์กลางแห่งสันติสุข และเรียกร้องให้ทำงานด้วยความหวัง. เขาเน้นย้ำว่าความพยายามในการสร้างพระวิหารจะส่งผลให้พระเจ้าประทานพระพรก็ต่อเมื่อพวกเขากลับใจและสัตย์ซื่อต่อพันธสัญญาเท่านั้น.
พระธรรมฮักกัยจบลงด้วยข้อสรุปแห่งความหวังถึงอาณาจักรของพระเจ้า ที่เยรูซาเล็มใหม่จะเป็นศูนย์กลางอันทรงเกียรติ และพระองค์จะทรงเผชิญหน้าและเอาชนะความชั่วร้ายทั้งปวง. พระสัญญาของพระเจ้าต่อดาวิดจะสำเร็จผ่านเชื้อสายของดาวิดคือเศรุบบาเบล และพระธรรมทิ้งคำถามท้าทายให้คนอิสราเอลเลือกว่าจะสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าหรือไม่ เพราะความสัตย์ซื่อของประชากรเป็นส่วนหนึ่งของวิธีที่พระเจ้าเลือกจะทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จบนโลกนี้.
พระธรรมเศฟันยาห์กล่าวถึงผู้เผยพระวจนะเศฟันยาห์ ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงทศวรรษสุดท้ายของอาณาจักรยูดาห์ใต้ที่เต็มไปด้วยการกราบไหว้รูปเคารพและความอยุติธรรม แม้กษัตริย์โยสิยาห์พยายามปฏิรูป. เศฟันยาห์พยากรณ์ถึง "วันแห่งพระผู้เป็นเจ้า" ซึ่งเป็นการพิพากษาที่จะมาถึงยูดาห์ เยรูซาเล็ม และชนชาติโดยรอบ. เขาบรรยายภาพที่โลกกลับสู่ความไร้ระเบียบ เพื่อสื่อถึงการล่มสลายของสถาบันศาสนา ผู้นำที่ฉ้อฉล และศูนย์กลางเศรษฐกิจที่เอารัดเอาเปรียบ. แม้กองทัพที่พระเจ้าทรงใช้คือบาบิโลน แต่เศฟันยาห์เน้นย้ำถึงบทบาทของพระเจ้าในการกำหนดชะตาเมือง.
อย่างไรก็ตาม การพิพากษาครั้งนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อทำลาย แต่เพื่อชำระ. พระธรรมเล่มนี้จบลงด้วยความหวังในการรื้อฟื้นเยรูซาเล็มและชนชาติทั้งปวง ประชาชาติผู้ดื้อรั้นจะกลับใจมาเป็นครอบครัวเดียวกันและร้องเรียกพระนามของพระเจ้า. พระองค์จะประทับอยู่ท่ามกลางประชากรที่ถ่อมตนลงและได้รับการเปลี่ยนแปลง. เศฟันยาห์เน้นย้ำว่าความยุติธรรมและความรักของพระเจ้าจะนำมาซึ่งความหวังในอนาคต สำหรับโลกที่ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันอย่างปลอดภัยและมีสันติสุข.
พระธรรมฮาบากุกเล่าถึงผู้เผยพระวจนะฮาบากุกผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงทศวรรษสุดท้ายของอาณาจักรอิสราเอลใต้ที่เต็มไปด้วยความอยุติธรรมและการกราบไหว้รูปเคารพ. เขาต่างจากผู้เผยพระวจนะคนอื่นตรงที่เขาไม่ได้กล่าวโทษอิสราเอล แต่ทูลต่อพระเจ้าเป็นการส่วนตัวถึงข้อกังวลของเขา.
การคร่ำครวญแรกของเขาคือสภาพที่เลวร้ายในอิสราเอลซึ่งธรรมบัญญัติถูกละเลยนำไปสู่ความรุนแรงและอยุติธรรม. พระเจ้าทรงตอบว่าพระองค์จะใช้บาบิโลนมานำความยุติธรรมมาสู่พวกเขา. ฮาบากุกโต้แย้งว่าบาบิโลนเลวร้ายยิ่งกว่า ไร้ศีลธรรม และยกอำนาจทหารเป็นเหมือนพระเจ้า. เขาตั้งคำถามว่าเหตุใดพระเจ้าผู้บริสุทธิ์จึงทรงใช้ชนชาติชั่วร้ายเช่นนี้.
พระเจ้าทรงตอบให้ฮาบากุกบันทึกนิมิตอนาคตที่แม้จะมาช้าแต่จะมาถึงแน่ โดยผู้ชอบธรรมจะดำรงชีวิตด้วยความเชื่อ. พระองค์จะคว่ำบาบิโลนและชนชาติที่กระทำแบบเดียวกัน เพราะการกดขี่สร้างวงจรแห่งการแก้แค้น. คำสัญญาของพระเจ้าขยายความด้วยชุด "วิบัติทั้งห้า" ที่อธิบายถึงการกดขี่ข่มเหงที่แพร่หลายในชาติพันธุ์ต่างๆ เช่น การค้าที่เอาเปรียบ แรงงานทาส ผู้นำที่ไร้ความรับผิดชอบ และการกราบไหว้รูปเคารพ (เงินทอง อำนาจ รัฐ).
บทที่ 3 คือคำอธิษฐานของฮาบากุกขอให้พระเจ้าทรงกระทำในปัจจุบันเหมือนที่เคยพิชิตอาณาจักรฉ้อฉลในอดีต. เขาบรรยายถึงการเสด็จมาของพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์คล้ายกับการอพยพครั้งใหม่และการพิชิตความชั่วร้ายของฟาโรห์และบาบิโลนในอนาคต ซึ่งพระองค์จะนำความยุติธรรมและช่วยผู้ถูกกดขี่. ฮาบากุกสรุปด้วยการสรรเสริญแห่งความหวัง เชื่อมั่นในพระเจ้าแม้โลกจะแตกสลาย กลายเป็นแบบอย่างของผู้ชอบธรรมที่ดำรงชีวิตด้วยความเชื่อ.
พระธรรมนาฮูม เป็นพระธรรมขนาดเล็กของผู้เผยพระวจนะที่ประกาศถึง การล่มสลายของอาณาจักรอาซีเรียและนีนะเวห์ เมืองหลวงที่โหดร้ายและกดขี่ อาซีเรียเป็นหนึ่งในอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่กดขี่อิสราเอลและชนชาติอื่นๆ อย่างรุนแรง ทำลายอาณาจักรเหนือและกวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลย กองทัพของพวกเขาก็โหดร้ายอย่างไม่เคยมีมาก่อน การล่มสลายของนีนะเวห์เกิดขึ้นในปี 612 ก่อนคริสต์ศักราชโดยชาวบาบิโลน
อย่างไรก็ตาม พระธรรมเล่มนี้ไม่ใช่เพียงแค่งานเขียนที่เกรี้ยวกราดต่อศัตรู แต่เริ่มต้นด้วยการบรรยายถึง การปรากฏอันทรงพลังและยุติธรรมของพระเจ้า พระเจ้าทรงกริ้วช้า แต่มีฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ และ จะไม่ทรงปล่อยให้คนผิดลอยนวล
สาระสำคัญคือ การล่มสลายของนีนะเวห์ถูกใช้เป็น ตัวอย่างของการที่พระเจ้าทรงทำงานในทุกยุคสมัย พระองค์จะไม่ทรงยอมให้อาณาจักรที่โหดร้ายและหยิ่งผยองดำรงอยู่บนโลก ประวัติศาสตร์มนุษย์เต็มไปด้วยการกดขี่และการหลั่งเลือดผู้บริสุทธิ์ พระธรรมนี้แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าทรงทุกข์ใจกับการตายของผู้บริสุทธิ์ และความดีและความยุติธรรมของพระองค์ผลักดันให้พระองค์ต้องนำผู้กดขี่ลง การพิพากษาความชั่วร้ายนี้คือ "ข่าวดี"
พระธรรมจบลงด้วยความหวังว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าประเสริฐและทรงเป็นที่ลี้ภัยในยามยากลำบาก สำหรับผู้ที่วางใจในพระองค์ นาฮูมจึงเชิญชวนให้ผู้อ่านถ่อมใจลงต่อหน้าความยุติธรรมของพระเจ้า และเชื่อว่าในเวลาของพระองค์ พระองค์จะทรงโค่นล้มผู้กดขี่ในทุกที่และทุกยุคสมัย
พระธรรมมีคาห์ นำเสนอคำเตือนถึงการพิพากษาและความหวังในการรื้อฟื้น มีคาห์เป็นผู้เผยพระวจนะในยูดาห์ ร่วมสมัยกับอิสยาห์ เขาเทศนาในช่วงที่อิสราเอลและยูดาห์ละเมิดพันธสัญญาของพระเจ้าอย่างรุนแรง โดยเฉพาะ ผู้นำที่ฉ้อฉล ไม่ยุติธรรม และกดขี่ข่มเหงคนยากจน ซึ่งละเมิดกฎของพระเจ้าอย่างชัดเจน มีคาห์เตือนว่าพระเจ้าจะนำการพิพากษามาผ่านอัสซีเรียและบาบิโลน ซึ่งจะทำลายอาณาจักรเหนือและเยรูซาเล็มกับพระวิหาร
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางคำเตือนเหล่านั้น ก็มี ถ้อยคำแห่งความหวัง ปรากฏอยู่เสมอ ความหวังนี้รวมถึงการที่พระเจ้าจะทรงรวบรวมประชากรที่เหลืออยู่ของพระองค์ และรื้อฟื้นเยรูซาเล็มให้เป็นศูนย์กลางที่ประชาชาติทั้งหลายจะมาหาพระเจ้าเพื่อสันติสุข จะมี กษัตริย์เมสสิยาห์ จากเชื้อสายดาวิด เกิดที่เบธเลเฮม มาปกครอง ผู้ที่สัตย์ซื่อจะเป็นพระพรแก่ประชาชาติ
สาระสำคัญของสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์จากประชากรของพระองค์คือ การประพฤติอย่างเที่ยงธรรม รักความเมตตา และดำเนินอย่างถ่อมใจไปกับพระเจ้า เหตุผลที่ยังมีความหวังอยู่ได้นั้นมาจาก พระลักษณะของพระเจ้า ผู้ทรงเปี่ยมด้วยเมตตาและให้อภัยบาป และจาก พระสัญญาที่ทรงทำไว้กับอับราฮัม ว่าประชาชาติจะได้รับพระพรผ่านครอบครัวของเขา พระเมตตาและพระสัญญาของพระเจ้าทรงพลังยิ่งกว่าความชั่วร้ายของมนุษย์ เป้าหมายสุดท้ายของพระองค์คือการช่วยกู้ ไม่ใช่การทำลาย พระองค์ทรงยินดีในความรักพันธสัญญา จะแสดงความเอ็นดูสงสาร เหยียบย่ำความชั่วร้าย และโยนบาปลงทะเลลึก
พระธรรมโยนาห์สอนเราเกี่ยวกับ พระเมตตาอันกว้างขวางของพระเจ้าที่ท้าทายมุมมองในใจเรา
โยนาห์เป็นผู้เผยพระวจนะที่ "กบฏที่เกลียดพระเจ้า เพราะทรงรักศัตรูของเขา" และพยายามหนีจากพระเจ้า เรื่องราวนี้เน้นที่ตัวโยนาห์ และแสดงความขัดแย้งที่น่าตลกระหว่าง ความเห็นแก่ตัวของโยนาห์ กับ การถ่อมตัวกลับใจของคนต่างชาติ ทั้งลูกเรือที่ถ่อมใจและหันมาหาพระเจ้า และชาวนีนะเวห์ ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจ
แม้คำเทศนาของโยนาห์จะสั้นและแปลกประหลาดมาก แต่ชาวนีนะเวห์ทั้งเมืองรวมทั้งกษัตริย์และวัวก็กลับใจไว้ทุกข์ ทำให้พระเจ้าทรงยกโทษให้และไม่ทำลายเมืองนั้น สิ่งนี้ทำให้โยนาห์ "โกรธจัด" เพราะเขารู้ว่าพระเจ้า "เปี่ยมด้วยความเมตตา" และจะให้อภัยศัตรู เขาถึงกับขอให้พระเจ้าฆ่าตนเอง ดีกว่าอยู่กับพระเจ้าผู้ยกโทษศัตรูของเขา
พระเจ้าทรงสอนโยนาห์ผ่านเรื่องต้นไม้เล็กๆ ถามว่าชีวิตมนุษย์ไม่มีค่ายิ่งกว่าต้นไม้หรือ และพระองค์ไม่ควรห่วงใยชาวนีนะเวห์นับแสนที่หลงทางรวมทั้งฝูงวัวด้วยหรือ
พระธรรมจบลงด้วยคำถามของพระเจ้าที่ไม่ได้ตอบ แต่กำลังถามผู้อ่านว่า เราโอเคไหมกับความจริงที่ว่าพระเจ้ารักศัตรูของเรา หนังสือเล่มนี้ยกกระจกส่องให้เห็นด้านที่ไม่น่ารักของเราในตัวโยนาห์ กระตุ้นให้เราถ่อมใจและขอบคุณพระเจ้าที่รักแม้กระทั่งศัตรูของพระองค์ นี่คือข่าวประเสริฐถึงพระเมตตาอันกว้างขวางของพระเจ้า
พระธรรมโอบาดีย์เป็นพระธรรมที่สั้นที่สุดในพันธสัญญาเดิม มีเพียง 21 ข้อ เป็นชุดบทกวีเกี่ยวกับการพิพากษาของพระเจ้าต่อ เอโดม ซึ่งเป็นชนชาติเพื่อนบ้านของอิสราเอลที่มีบรรพบุรุษร่วมกันคือ เอซาวและยาโคบ แต่มีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด
ความผูกพันทางครอบครัวนี้ถูกทำลายลงเมื่อเอโดมฉวยโอกาสในช่วงที่บาบิโลนทำลายกรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาปล้นเมืองต่างๆ จับผู้ลี้ภัย และถึงกับฆ่าชาวอิสราเอล พระธรรมกล่าวโทษผู้นำเอโดมโดยเฉพาะเรื่อง ความหยิ่งจองหองและการยกตัวเองขึ้น ซึ่งนำไปสู่การเข้าร่วมในการทำลาย พระเจ้าประกาศว่าเอโดมจะถูกนำลงมาจากที่สูงและถูกทำลาย สิ่งที่พวกเขาทำกับอิสราเอลก็จะเกิดกับพวกเขาเอง
พระธรรมขยายภาพจากเอโดมไปสู่ "วันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าสำหรับมวลประชาชาติ" โดยมองว่าความหยิ่งและการล่มสลายของเอโดมเป็น ภาพตัวอย่าง ของวิธีที่พระเจ้าจะเผชิญหน้าและจัดการกับชนชาติที่หยิ่งและโหดร้ายทั้งหลายในวันนั้น อย่างไรก็ตาม การพิพากษาของพระเจ้าไม่ใช่จุดจบ พระธรรมจบลงด้วยความหวังว่าพระเจ้าจะ รื้อฟื้นราชวงศ์ดาวิด และสร้างอาณาจักรอิสราเอลขึ้นใหม่ ซึ่งจะรวมถึงเอโดมและนานาชาติด้วย อาณาจักรแห่งการรักษาและสันติสุขของพระเจ้าจะขยายออกไปจากเยรูซาเล็มใหม่ พระธรรมนี้เน้นความยุติธรรมและความสัตย์ซื่อของพระเจ้า และความหวังในการเยียวยาและการสร้างสิ่งใหม่
พระธรรมอาโมสกล่าวถึงผู้เผยพระวจนะอาโมส คนเลี้ยงแกะจากชายแดนอิสราเอล/ยูดาห์ เขาถูกเรียกให้ไปประกาศแก่ อิสราเอล (เหนือ) ในช่วงที่ประเทศมั่งคั่งแต่เต็มไปด้วยความอยุติธรรม การกราบไหว้รูปเคารพ และการละเลยคนยากจน อาโมสกล่าวโทษชนชาติรอบข้าง แต่เน้นอิสราเอลอย่างรุนแรงที่สุด โดยตำหนิ ความหน้าซื่อใจคดทางศาสนา ของผู้นำและคนรวยที่ทำพิธีกรรมแต่เพิกเฉยต่อคนจนและยอมให้เกิดความอยุติธรรม (รวมถึงการค้าทาส) พระเจ้าเกลียดชังการนมัสการที่ปราศจากการเชื่อมโยงกับการปฏิบัติต่อผู้คน การนมัสการแท้คือการปล่อยให้ ความยุติธรรม (มิสพาท) และความชอบธรรม (เศเดคาห์) ไหลมาเหมือนแม่น้ำ
เนื่องจากอิสราเอลปฏิเสธผู้เผยพระวจนะ วันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเป็นการพิพากษาที่น่ากลัวกำลังจะมาถึง โดยชาติมหาอำนาจจะเข้ามาทำลายและกวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลย อย่างไรก็ตาม มีแสงแห่งความหวังเล็กน้อยในตอนท้าย พระเจ้าสัญญาว่าจะ รื้อฟื้นตระกูลดาวิด และ ฟื้นฟูประชากรของพระองค์ ซึ่งจะรวมถึงนานาชาติด้วย พระธรรมนี้แสดงสมดุลระหว่างการพิพากษาความชั่วของพระเจ้ากับเป้าหมายระยะยาวแห่งพระเมตตาและการฟื้นฟู อาโมสเรียกร้องให้ละทิ้งความหน้าซื่อใจคดและหันมานมัสการที่แท้จริงซึ่งแสดงออกผ่านความยุติธรรมและความรักเพื่อนบ้าน
พระธรรมโยเอลมีลักษณะเฉพาะหลายประการ เช่น ไม่ระบุเวลาเขียนชัดเจน และอ้างอิงถึงพระคัมภีร์เล่มอื่น ๆ อย่างมาก สิ่งสำคัญคือ โยเอลไม่ได้กล่าวโทษอิสราเอลในบาปเรื่องใดเป็นพิเศษ แต่ประกาศถึงการพิพากษาของพระเจ้าที่กำลังมาถึง ผู้เขียนโยเอลคุ้นเคยกับงานเขียนพระคัมภีร์ก่อนหน้านี้และใช้มันเพื่อทำความเข้าใจโศกนาฏกรรมในยุคของเขา และให้ความหวังสำหรับอนาคต
ใจความสำคัญของพระธรรมโยเอลคือ "วันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า" ซึ่งโยเอลใช้เหตุการณ์ในอดีต เช่น ภัยพิบัติฝูงตั๊กแตนที่ทำลายล้างอิสราเอล เพื่อสะท้อนภาพถึงวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าที่จะมาถึงในอนาคต ซึ่งเป็นการพิพากษาที่รุนแรงยิ่งกว่า เปรียบเสมือนกองทัพ โยเอลเรียกร้องให้ประชากร กลับใจ โดยเน้นว่าเป็นการกลับใจที่แท้จริงคือ "ฉีกใจ ไม่ใช่ฉีกเสื้อผ้า" เหตุผลที่ควรกลับใจคือ พระเจ้านั้นทรงเปี่ยมด้วยพระคุณ ทรงกริ้วช้า และเปี่ยมด้วยความรัก ซึ่งพระเมตตาของพระองค์ทรงพลังกว่าพระพิโรธและการพิพากษา
เมื่อประชากรกลับใจ พระเจ้ารับปากว่าจะทรงเวทนาสงสาร พระองค์จะจัดการกับผู้รุกราน ฟื้นฟูแผ่นดินที่ถูกทำลาย และนำการทรงสถิตของพระองค์มาเหนือประชากร แม้บาปนำไปสู่หายนะ แต่ก็ยังมีความหวังอยู่เสมอ ส่วนท้ายของพระธรรมได้ขยายความหวังนี้ว่า พระวิญญาณของพระเจ้าจะเติมเต็มประชากรทั้งหมด จะมีการ พิพากษาประชาชาติที่โหดร้าย และจะนำไปสู่การ ฟื้นฟูสิ่งทรงสร้างทั้งหมดให้กลายเป็นสวนเอเดนใหม่ โดยพระเมตตาและการยกโทษของพระเจ้าได้เปิดประตูสู่การทรงสร้างใหม่นี้ สรุปคือ พระธรรมโยเอลสำรวจบาปมนุษย์ แต่เน้นพระเมตตาของพระเจ้า และความหวังแห่งการเยียวยาและการสร้างสิ่งใหม่
พระธรรมโฮเชยาเป็นบทกวีและคำเทศนาของผู้เผยพระวจนะโฮเชยาในอาณาจักรอิสราเอลทางเหนือ ซึ่งกำลังจะถูกอัสซีเรียพิชิต เนื้อหาเริ่มต้นด้วยเรื่องราวเชิงสัญลักษณ์ของการแต่งงานของโฮเชยากับโฆเมอร์ หญิงที่ไม่สัตย์ซื่อ ซึ่งเปรียบเสมือนความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้า (สามีผู้สัตย์ซื่อ) กับอิสราเอล (ภรรยาผู้กบฏ)
อิสราเอลกบฏต่อพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง โดยไปไหว้รูปเคารพ (พระบาอัล) ละเมิดธรรมบัญญัติ แสดงความหน้าซื่อใจคดในการนมัสการ และขาดความรู้เชิงความสัมพันธ์ ("ยาดา") กับพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขายังวางใจในพันธมิตรทางการเมืองแทนที่จะวางใจพระเจ้าผู้ปกป้อง
เนื่องจากความไม่สัตย์ซื่อนี้ พระเจ้าย่อมทรงนำการพิพากษาและการลงโทษมาถึงพวกเขา อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเหตุผลอันชอบธรรมที่จะยุติพันธสัญญา แต่ด้วย ความรัก ความเมตตา และความสัตย์ซื่อ ของพระองค์เอง พระเจ้าจะทรงติดตามอิสราเอลกลับมาและรื้อฟื้นความสัมพันธ์ พระธรรมนี้จึงให้ความหวังถึงการฟื้นฟูในอนาคต วันหนึ่งอิสราเอลจะกลับใจ และพระเจ้าจะทรงรักษาใจที่แตกสลายของพวกเขา พระเจ้าจะทรงประทานผู้นำคนใหม่คือ กษัตริย์เมสสิยาห์จากเชื้อสายดาวิด และทำให้อิสราเอลที่ได้รับการฟื้นฟูเป็นเหมือนต้นไม้ที่นำพระพรไปสู่ บรรดาประชาชาติ สาระสำคัญคือ แม้พระเจ้าจะลงโทษความชั่วร้ายของมนุษย์ แต่พระประสงค์สูงสุดของพระองค์คือการ เยียวยาและการช่วยกู้ ประชากรของพระองค์
พระธรรมดาเนียลเล่าเรื่องของดาเนียลและเพื่อนชาวอิสราเอลที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยในบาบิโลน หลังจากการโจมตีเยรูซาเล็มและพระวิหารครั้งแรก พวกเขามาจากราชวงศ์ดาวิดและต้องต่อสู้เพื่อรักษาความหวังและความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าในดินแดนของผู้พิชิต พระธรรมแบ่งเป็นสองส่วนหลัก: เรื่องราวเกี่ยวกับดาเนียลและผองเพื่อนในบาบิโลน (บทที่ 1-6) และนิมิตของดาเนียลเกี่ยวกับอนาคต (บทที่ 7-12)
เรื่องราวแสดงให้เห็นว่าแม้จะถูกกดดันให้เลิกใช้ชีวิตแบบอิสราเอลและต้องเผชิญอันตรายจากการไม่ยอมนมัสการกษัตริย์ในฐานะพระเจ้า แต่พวกเขาก็เลือกที่จะสัตย์ซื่อต่อธรรมบัญญัติ ทำให้พระเจ้าทรงช่วยกู้พวกเขาและได้รับการยกย่อง เรื่องราวของกษัตริย์บาบิโลนเนบูคัดเนสซาร์และเบลชัสซาร์สะท้อนแนวคิดที่ว่า เมื่ออาณาจักรมนุษย์ลืมพระเจ้าและยกตนเอง พวกเขาก็จะตกต่ำและรับการพิพากษา
นิมิตต่างๆ แสดงถึงลำดับของอาณาจักรมนุษย์ที่หยิ่งผยองและกบฏต่อพระเจ้า โดยใช้สัญลักษณ์รูปปั้นและสัตว์ร้าย นิมิตที่สำคัญคือพระเจ้า (องค์ผู้ดำรงอยู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์) จะทรงสถาปนาบัลลังก์ ทำลายอำนาจชั่วร้าย และมอบอำนาจปกครองนิรันดร์ให้แก่ "บุตรมนุษย์" สาระสำคัญคือการให้ความหวังแก่ประชากรของพระเจ้าผู้ทนทุกข์ภายใต้การข่มเหงจากอาณาจักรมนุษย์ โดยสัญญาว่าพระเจ้าจะทรงนำอาณาจักรของพระองค์มาเผชิญหน้าและช่วยกู้โลกและประชากรของพระองค์ในที่สุด พระธรรมนี้จึงเป็นคำเตือนให้สัตย์ซื่อและให้ความหวังในทุกยุคสมัย
เอเสเคียล ผู้เป็นปุโรหิตที่ถูกกวาดต้อนไปยังบาบิโลน ได้รับนิมิตถึงพระสิริของพระเจ้าปรากฏที่นั่น แทนที่จะเป็นในพระวิหารที่เยรูซาเล็ม ซึ่งทำให้เขาประหลาดใจอย่างยิ่ง สาเหตุของการที่พระสิริของพระเจ้าปรากฏนอกพระวิหารนั้นเกิดจากการกบฏ การไหว้รูปเคารพ ความอยุติธรรม และความรุนแรงของอิสราเอล ซึ่งเท่ากับเป็นการขับไล่พระเจ้าให้ทรงละทิ้งพระวิหารของพระองค์ไป
เอเสเคียลได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้เผยพระวจนะ มีหน้าที่กล่าวโทษอิสราเอลและประชาชาติรอบข้างถึงการพิพากษาที่กำลังจะมาถึง เขาใช้ถ้อยคำและการกระทำที่เป็นสัญลักษณ์ รวมถึงภาพอุปมาที่หลากหลาย เพื่อสื่อสารสารของเขา เช่น การจำลองการปิดล้อมเยรูซาเล็มและการโกนผม
หลังจากการทำลายล้างเยรูซาเล็มและพระวิหารในที่สุดตามคำเตือนของเอเสเคียล
หนังสือก็ได้เปลี่ยนไปสู่สารแห่งความหวัง สำหรับอิสราเอล
พระเจ้าทรงสัญญาจะให้ผู้นำคนใหม่คือพระเมสสิยาห์
และประทานใจใหม่ให้แก่ประชากรของพระองค์ [สัญลักษณ์ในนิมิตหุบเขาแห่งกระดูกแห้ง เล้งแซ่บ :D ]
เพื่อให้พวกเขาสามารถรักและเชื่อฟังพระเจ้าได้อย่างแท้จริง
สำหรับประชาชาติ ความชั่วร้ายจะถูกกำจัดในที่สุด ( represented by กกและมาโกก)
และสำหรับสิ่งทรงสร้างทั้งหมด มีนิมิตถึงพระวิหารและนครใหม่จากสวรรค์ที่มีแม่น้ำแห่งชีวิตไหลออกไปฟื้นฟูแผ่นดิน
สะท้อนภาพสวนเอเดนในปฐมกาล ชื่อของนครใหม่นี้คือ "องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตที่นี่"
แสดงถึงการที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับประชากรของพระองค์อีกครั้งในสิ่งทรงสร้างใหม่
พระธรรมบทเพลงคร่ำครวญ
เป็นสถานการณ์ที่สุดแสนโหดร้ายเลยนะ
ลองจินตนาการถึงสงครามไทยพม่าก็ได้ แพ้ศึกสิ้นชาติ ยากลำบาก
คือไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว
ถามว่าน่าสงสารไหม...พูดยากนะ
ชีวิตเจออะไรที่โหดร้ายขนาดนั้นก็น่าสงสารแหละ
แต่ลองนั่งนิ่งๆแล้วคิดสิว่า..
เตือนมากี่รอบแล้วว่าอย่ามีพระอื่น
อิสราเอลก็นะ ปฏิเสธพระเจ้าจนเกิดการพิพากษาขึ้นจนได้
แต่การพิพากษานี้เพื่อช่วยอิสราเอลในเฟสต่อไปอีกนั่นแหละ
พระธรรมบทเพลงคร่ำครวญ เป็นงานที่มี 5 บท จากผู้เขียนนิรนามผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์หายนะ การล่มสลายของเยรูซาเล็มและพระวิหาร โดยบาบิโลนในปี 587 ก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อิสราเอลขณะนั้น เป็นการ รำลึกถึงความเจ็บปวด ของชาติอย่างซับซ้อน บทคร่ำครวญนี้เป็น หนทางระบายความรู้สึก ความโกรธ ความผิดหวัง และถามคำถามต่อพระเจ้าเกี่ยวกับความทุกข์ยาก พระคัมภีร์ให้ ศักดิ์ศรีสูงส่งกับความทุกข์ยากของมนุษย์
โครงสร้างส่วนใหญ่ (บทที่ 1-4) ใช้ กลอนเรียงอักษร (Acrostic) ตามอักษรฮีบรู 22 ตัว ซึ่ง ขัดแย้งกับความเจ็บปวดอันไร้ระเบียบ บทที่ 1 เปรียบเยรูซาเล็มเป็นสตรีผู้คร่ำครวญโดดเดี่ยว (ธิดาแห่งศิโยน) บทที่ 2 แสดงว่าการล่มสลายเป็นผลจาก บาปของอิสราเอลและพระพิโรธอันชอบธรรมของพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ บทที่ 3 ให้ ความหวังจากความสัตย์ซื่อและเมตตาของพระเจ้า โดยมองว่าการพิพากษาเป็นเหมือน เมล็ดพันธุ์แห่งความหวัง บทที่ 4 บรรยาย ความทุกข์ทรมานของการปิดล้อม อย่างชัดเจน บทที่ 5 เป็น คำอธิษฐานร่วมของชุมชน โดยไม่มีโครงสร้างอักษร แสดงถึงความเศร้าที่ปะทุออกมาและขอความเมตตา พระธรรมจบลงด้วย ความตึงเครียดที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข แต่ยืนยันว่า การคร่ำครวญและความเจ็บปวดเป็นส่วนสำคัญในเส้นทางความเชื่อ ท่ามกลางโลกที่แตกสลาย
พระธรรมเยเรมีย์กล่าวถึงเยเรมีย์ ผู้เผยพระวจนะในเยรูซาเล็มช่วงทศวรรษสุดท้ายของยูดาห์ เขาถูกเรียกให้เตือนประชากรถึงผลลัพธ์อันน่าสยดสยองจากการละเมิดพันธสัญญาของพระเจ้า สาเหตุหลักคือการ กราบไหว้รูปเคารพ (เปรียบเหมือนการค้าประเวณี) และ ความอยุติธรรม โดยเฉพาะต่อผู้อ่อนแอ ผู้นำต่างทอดทิ้งธรรมบัญญัติ
เยเรมีย์เผยพระวจนะว่าพระเจ้าจะใช้ บาบิโลน เป็นเครื่องมือในการพิพากษา ซึ่งนำไปสู่การ ทำลายกรุงเยรูซาเล็ม พระวิหาร และการ พลัดถิ่น 70 ปี เยเรมีย์ใช้ชีวิตและเป็นพยานต่อเหตุการณ์นี้ ส่วนแรกของหนังสือ (บทที่ 1-24) คือคำเตือนก่อนตกเป็นเชลย ส่วนถัดมาเน้นการพิพากษาอิสราเอลและประชาชาติรอบข้าง แม้บาบิโลนจะเป็นเครื่องมือ แต่ก็ถูกพิพากษาด้วยความหยิ่งผยองของตนเอง
ท่ามกลางคำเตือนและการพิพากษา ยังมีถ้อยคำแห่ง ความหวัง พระเจ้าสัญญาว่าจะทำ พันธสัญญาใหม่ โดยจารึกธรรมบัญญัติไว้บนใจ และสัญญาถึงการกลับสู่แผ่นดินและการมาถึงของ พระเมสสิยาห์ จากเชื้อสายดาวิด ผู้ซึ่งประชาชาติจะยอมรับว่าเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ แม้อิสราเอลจะไม่สัตย์ซื่อ แต่ความสัตย์ซื่อของพระเจ้าจะทำให้พระสัญญาสัมฤทธิ์ผล หนังสือจบลงด้วยแสงแห่งความหวังเล็กๆ ที่เกี่ยวข้องกับกษัตริย์เยโฮยาคิน สรุปคือ พระธรรมเยเรมีย์เต็มไปด้วยคำเตือนและการพิพากษา แต่ลงท้ายด้วยความหวังในอนาคต
พระธรรมอิสยาห์บทที่ 1-39 เน้นย้ำถึงการพิพากษาของพระเจ้าต่ออิสราเอลและยูดาห์ เนื่องจากการกบฏ การกราบไหว้รูปเคารพ และความอยุติธรรม อิสยาห์เตือนว่าพระเจ้าจะใช้มหาอำนาจอย่างอัสซีเรียและบาบิโลนมาพิพากษาพวกเขา ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์สำคัญคือการล่มสลายของเยรูซาเล็มและการพลัดถิ่นไปบาบิโลนในที่สุด แม้จะมีคำเตือนถึงการพิพากษา แต่ก็มีถ้อยคำแห่งความหวังอยู่ด้วย ความหวังนี้อิงตามพันธสัญญาของพระเจ้ากับดาวิด โดยชี้ไปยังการมาถึงของกษัตริย์องค์ใหม่ (พระเมสสิยาห์) จากเชื้อสายดาวิด ผู้ซึ่งเป็น "เมล็ดพันธุ์อันบริสุทธิ์" กษัตริย์นี้จะนำความยุติธรรมและสันติสุขมา และประชาชาติจะมายังเยรูซาเล็มใหม่
พระธรรมอิสยาห์บทที่ 40-66 เน้นที่ความหวังหลังจากการพลัดถิ่นในบาบิโลนสิ้นสุดลง เป็นการป่าวประกาศถึงการปลอบประโลมและการสิ้นสุดของการจองจำ มุมมองของผู้เผยพระวจนะในส่วนนี้ดูเหมือนจะเป็นของคนที่อยู่ในยุคหลังพลัดถิ่น ซึ่งอาจเป็นสาวกของอิสยาห์ที่เขียนเพิ่มเติมจากคำเผยพระวจนะดั้งเดิม แม้อิสราเอลจะล้มเหลวในการเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าและพยานต่อประชาชาติ แต่มีบุคคลหนึ่งชื่อ "ผู้รับใช้ของพระเจ้า" ที่จะทำให้ภารกิจนี้สำเร็จ ผู้รับใช้นี้จะทนทุกข์ ถูกปฏิเสธ และถูกฆ่า แต่การตายของเขาคือการชดใช้บาปแทนประชากร ผู้ที่ตอบสนองต่อผู้รับใช้ผู้นี้จะกลายเป็น "เราผู้รับใช้" และ "เมล็ดพันธุ์" พระธรรมอิสยาห์จบลงด้วยภาพของเยรูซาเล็มใหม่และการทรงสร้างใหม่ทั้งหมด ที่ซึ่งพระเจ้าปกครอง นำความยุติธรรม สันติสุข และความรอดมาสู่ทุกประชาชาติ
จากแหล่งข้อมูลที่ให้มา และประวัติการสนทนา บทเพลงรักซาโลมอน (Song of Songs) เป็นหนังสือในพระคัมภีร์ที่รู้จักกันดีแต่ไม่ค่อยเข้าใจ. หนังสือนี้เป็น การรวบรวมบทกวีแห่งความรัก 8 บท. ชื่อ "ยอดบทเพลง" แสดงว่านี่คือ บทเพลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด.
แม้บรรทัดแรกจะกล่าวถึงซาโลมอน แต่ผู้พูดหลักในบทกวีคือสตรีและบุรุษคู่หนึ่งที่ไม่ใช่ซาโลมอน. "ของซาโลมอน" อาจหมายถึงอยู่ในกรอบ ปัญญาแบบอย่างซาโลมอน ที่สำรวจประสบการณ์มนุษย์เรื่องความรักและความปรารถนาทางเพศ.
โครงสร้างของหนังสือไม่มีลำดับเหตุการณ์ที่แน่นอน แต่เคลื่อนไหวคล้ายดนตรีซิมโฟนี โดยมี โครงเรื่องหลักคือความปรารถนาอันเร่าร้อน การตามหา และการพบกันของทั้งสอง. มีการใช้ คำเปรียบอธิบายความดึงดูดทางกาย ซึ่งควรตีความความหมายในบริบทความสัมพันธ์.
บทกวีเน้นย้ำถึงพลังและความเข้มข้นของความรัก ซึ่งแข็งแรงดั่งความตายและเป็นเหมือนไฟ. ความรักเป็นสิ่งงดงามและอันตราย เป็นการแสดงความปรารถนาของมนุษย์ที่จะถูกรู้จักและปรารถนา. ซาโลมอนพยายาม "ซื้อ" ความรักซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้และถูกปฏิเสธ. หนังสือจบแบบเปิดเหมือนความรักแท้ที่ไม่มีวันจบ.
มีการตีความหนังสือนี้สามแบบหลัก: คำอุปมา ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับอิสราเอล (ประเพณียิว) หรือพระคริสต์กับคริสตจักร (คริสเตียน). การค้นพบทางโบราณคดีชี้ว่านี่อาจเป็น บทกวีรักอิสราเอลแท้ๆ ที่สะท้อนของประทานความรักจากพระเจ้า. ภาพในบทกวีสะท้อนถึง สวนเอเดน และภาพลักษณ์ความสัมพันธ์ที่ยังไม่ถูกความเห็นแก่ตัวและบาปมาแตะต้อง. หนังสือนี้บอกว่าความรักเป็น ของประทานจากพระเจ้า และชี้ให้เห็นถึงความรักที่ยิ่งใหญ่กว่าของพระองค์.
ตอนผมเรียน Ph.D. เจอ Quote ที่ชอบมากอันนึงจะเล่าให้ฟัง
เริ่มต้นเรามีความรู้ติดตัวมาใช่ไหมI know what i know จบสาขานั้น สาขานี้มาพอเริ่มเรียนI don't know what i know เริ่มไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เรียนมานั้นมันใช้ได้จริงไหมพอจะทำวิจัยI know what i don't know เริ่มรู้แล้วว่าอะไรที่ยังไม่รู้พอเรียนจบI don't know what I don't know พอเรียนจบไม่รู้เลยว่ามีอะไรที่ยังไม่รู้อีก
สุดท้ายแล้วเราจะพบว่า สิ่งเดียวที่เรารู้ก็คือเราไม่รู้อะไรเลย
I know what I know nothing ><
พระธรรมปัญญาจารย์ (Ecclesiastes) เป็นส่วนหนึ่งของวรรณกรรมปัญญาในพระคัมภีร์ พระธรรมนี้เริ่มต้นด้วยถ้อยคำของ โคเฮเลท ซึ่งแปลว่า "ผู้ที่รวบรวมคนอื่นเข้ามา" หรือ "ครูอาจารย์/ปัญญาจารย์" แม้จะเชื่อกันว่าโคเฮเลทอาจเป็นซาโลมอนหรือผู้สืบเชื้อสายจากดาวิด แหล่งข้อมูลระบุว่าโคเฮเลทเป็นเพียงตัวละครหนึ่งในพระธรรมเล่มนี้ ไม่ใช่ผู้เขียนนิรนาม ผู้เขียนจะนำเสนอและสรุปคำสอนของโคเฮเลทในตอนต้นและตอนท้าย.
ประเด็นพื้นฐานของปัญญาจารย์คือวลี "ทุกสิ่งล้วนเฮเวล" (Hevel) คำว่า "เฮเวล" ในภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า "ไอระเหย" หรือ "ควัน" ใช้ทั้งหมด 38 ครั้งในพระธรรมนี้ เพื่อเป็นคำอุปมาถึงชีวิตว่า ชั่วคราว ล่องลอย ลึกลับ ย้อนแย้ง และไม่สามารถคาดเดาได้ เหมือนการวิ่งไล่ตามลม โคเฮเลทต้องการชี้ให้เห็นว่า มนุษย์มักพยายามหาความหมายและเป้าหมายชีวิตโดยปราศจากพระเจ้า และใช้เวลาพลังงานไปกับสิ่งที่ไม่ยืนยาว เช่น ความมั่งคั่ง อาชีพ ฐานะ หรือความสุขสำราญ เวลาและความตายทำให้ความพยายามเหล่านี้ไร้ความหมาย เพราะทุกอย่างจะถูกลบเลือน และความตายคือความเท่าเทียมที่ยิ่งใหญ่ แม้แต่ปัญญาก็ถือเป็น "เฮเวล" เพราะไม่ได้ประกันชีวิตที่ดีเสมอไป
ท่ามกลางความ "เฮเวล" ของชีวิต โคเฮเลทค้นพบกุญแจสำคัญคือ การยอมรับว่าทุกสิ่งอยู่นอกเหนือการควบคุม และ การชื่นชมยินดีในสิ่งดีๆ ที่เรียบง่ายในชีวิต อันเป็นของขวัญจากพระเจ้า เช่น มิตรภาพ ครอบครัว อาหาร หรือวันที่ท้องฟ้าสดใส การยอมรับนี้ช่วยให้เราชื่นชมชีวิตตามที่เป็น
ผู้เขียนสรุปในตอนท้ายว่า คำสอนของปัญญาจารย์เป็นสิ่งสำคัญที่ท้าทายความหวังผิดๆ แต่แทนที่จะจมอยู่กับการหาคำตอบที่ไม่มีวันจบสิ้น ผู้เขียนบอกว่า หน้าที่ทั้งหมดของมนุษย์คือ จงยำเกรงพระเจ้าและรักษาพระบัญญัติของพระองค์ ความหวังที่แท้จริงอยู่ที่การพิพากษาของพระเจ้า ผู้ซึ่งจะจัดการกับความ "เฮเวล" และนำความยุติธรรมมาสู่โลก ความหวังนี้เป็นเชื้อเพลิงแห่งความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า แม้จะต้องอยู่กับปริศนาชีวิตก็ตาม