บทความวิจัยจาก Deutsche Bank Research ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2025 นี้ มุ่งเน้นการใช้ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) dbLumina เพื่อประเมินและวิเคราะห์จิตวิทยาของนักลงทุนในตลาดตลอดปี 2025 โดยการป้อนข้อมูลจากบทวิเคราะห์ตลาดรายวันของธนาคารเอง ผลการวิเคราะห์เปิดเผยว่า มนุษย์มักมองโลกในแง่ลบเกินไป และแสดงความ ไร้เหตุผลมากที่สุด ในช่วงที่ตลาดตกต่ำที่สุดเมื่อเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดความตื่นตระหนกสูงสุด นอกจากนี้ AI ยังได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับอารมณ์ที่ครอบงำตลาด เช่น ความวิตกกังวล ที่มีอยู่เกือบทั้งปี และระบุว่านักลงทุนยังคงถูกชี้นำด้วย อคติทางความคิด แบบเดิมๆ เช่น ความเอนเอียงจากการได้รับข้อมูลล่าสุด แม้จะเชื่อว่าตนเองได้ปรับตัวเข้าสู่โลกการลงทุนใหม่แล้วก็ตาม โดยสรุป การศึกษานี้ใช้ AI เป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจว่าเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมือง รวมถึงความรู้สึก ส่งผลกระทบต่อความเคลื่อนไหวของตลาดอย่างไร.
แหล่งข้อมูลทั้งสองคือรายงานการวิจัยของ Deutsche Bank ที่เผยแพร่ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2025 โดยให้ความเห็นต่อภาพรวมของตลาดการเงินโลก รายงานแรกที่เน้นเรื่อง Foreign Exchange (FX) ชี้ให้เห็นว่าความผันผวนของค่าเงินได้ลดลงอย่างมาก เนื่องจากผลกระทบจาก "Trump shock" ได้คลี่คลายลง และคาดการณ์ว่าสภาพแวดล้อมทางการเงินทั่วโลกที่ผ่อนคลายและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่นของสหรัฐฯ จะไม่สอดคล้องกับการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของดอลลาร์สหรัฐฯ รายงานที่สองซึ่งเป็นการวิจัยตามหัวข้อ (Thematic Research) เกี่ยวกับ ตราสารหนี้ เตือนว่าอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงของพันธบัตรในระยะยาวอาจไม่เพียงพอ โดยใช้ข้อมูลประวัติศาสตร์ 200 ปี เพื่อแสดงว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายและผลตอบแทน 10 ปีที่ระดับต่ำในปัจจุบันนั้น มักจะนำไปสู่ผลตอบแทนที่แท้จริงที่ไม่น่าพอใจในช่วง 25 ปี ทั้งสองเอกสารจึงให้การวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจมหภาคในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับแนวโน้มของ ค่าเงินและผลตอบแทนพันธบัตร พร้อมทั้งมีภาคผนวกที่ระบุ ข้อกำหนดและข้อเปิดเผยที่สำคัญ สำหรับการวิเคราะห์ทางการเงินเหล่านี้
รายงานการวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ของ Deutsche Bank ซึ่งมีหัวข้อว่า "มุมมองทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา" ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2025 ได้นำเสนอข้อโต้แย้งที่ว่า การกักตุนแรงงาน (labor hoarding) ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนพลวัตของตลาดแรงงานโดยรวม แม้ว่าจะเป็นเรื่องสำคัญในบางภาคส่วนก็ตาม ผู้เขียนได้ให้คำจำกัดความของการกักตุนแรงงานว่าเป็นความไม่เต็มใจที่จะไล่พนักงานออก แม้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจจะไม่จำเป็นต้องมีพนักงานเหล่านั้นก็ตาม โดยชี้ให้เห็นว่า ข้อมูลมหภาค เช่น ยอดขายจริงและผลผลิตต่อชั่วโมงสูงกว่าแนวโน้มก่อนโควิด ในขณะที่ จำนวนบัญชีเงินเดือนยังคงต่ำกว่าแนวโน้มอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่คาดหวังหากมีการกักตุนแรงงานในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์แบบแบ่งภาคส่วน เพื่อแสดงให้เห็นว่าบางอุตสาหกรรม เช่น การค้าส่งและค้าปลีก อาจมีการกักตุนแรงงาน ขณะที่ภาคส่วนอื่น ๆ เช่น ที่พักอาศัยและเทคโนโลยี มีการเพิ่มผลผลิตเพื่อชดเชยการขาดแคลนแรงงาน โดยสรุปคือ การประเมินตลาดแรงงานในอนาคตจำเป็นต้องพิจารณาความแตกต่างของแต่ละภาคส่วน แทนที่จะมุ่งเน้นเพียงแค่การเปลี่ยนผ่านจากการกักตุนแรงงานไปเป็นการเลิกจ้างเท่านั้น
เอกสารนี้คือฉบับย่อจากแหล่งที่มาที่ชื่อว่า “NATO_Future_of_Conflicts_1762099912.pdf” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชุดเอกสาร Future Series ที่เผยแพร่โดยวิทยาลัยป้องกันประเทศนาโต (NATO Defense College) ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี โดยถูกระบุว่าเป็นฉบับ Insight และมีวันที่ออกคือเดือนตุลาคม ปี 2025 เนื้อหาหลักมุ่งเน้นไปที่หัวข้อ “อนาคตของความขัดแย้ง” (Future of Conflicts) ซึ่งผู้เขียนเอกสารฉบับนี้ได้แก่ Nicolas Minvielle, Marie Roussie, และ Romane Thomas และมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอ วิสัยทัศน์ของสิ่งที่จะเกิดขึ้น ในอนาคตข้างหน้า
รายงานจาก ศูนย์ภูมิรัฐศาสตร์ของ JPMorganChase นี้ให้ภาพรวมที่ครอบคลุมเกี่ยวกับ ภูมิรัฐศาสตร์ของปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยอธิบายว่า AI กำลังกลายเป็น "ระบบปฏิบัติการระดับโลกใหม่" อย่างไร สาระสำคัญคือความขัดแย้งเชิงกลยุทธ์ระหว่าง จีนและสหรัฐอเมริกา ซึ่งกำลังดำเนินไปในเส้นทางที่แตกต่างกัน โดยจีนเน้นการพึ่งพาตนเองที่นำโดยรัฐและการแพร่กระจายของโอเพนซอร์ส ในขณะที่สหรัฐฯ มุ่งเน้นไปที่นวัตกรรมของภาคเอกชนและความมั่นคงของชาติ เอกสารนี้ยังระบุถึงประเด็นสำคัญเจ็ดประการ เช่น อำนาจอธิปไตยทางเทคโนโลยีของยุโรป การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI ของตะวันออกกลาง และบทบาทสำคัญของ พลังงานและฮาร์ดแวร์ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ในการแข่งขันระดับโลก นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงผลกระทบของ AI ต่อ กองทัพ และความจำเป็นในการกำหนด บรรทัดฐานและมาตรฐานสากล สำหรับธรรมาภิบาล AI ทั่วโลก
บทความ "Causality and Factor Investing: A Primer" โดย Marcos López de Prado และ Vincent Zoonekynd นำเสนอภาพรวมเกี่ยวกับการลงทุนแบบแฟกเตอร์ โดยเน้นย้ำถึง ปัญหาพื้นฐาน ในการใช้วิธีการทางเศรษฐมิติแบบดั้งเดิมที่ละเลยหลักการความเป็นเหตุเป็นผล (causality) ข้อบกพร่องทางระเบียบวิธีนี้ทำให้เกิด "ภาพลวงตาของแฟกเตอร์" (factor mirage) ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่ดูดีในการทดสอบย้อนหลังแต่ล้มเหลวในการใช้งานจริงเนื่องจากการระบุความสัมพันธ์ที่ผิดพลาด ผู้เขียนได้อธิบายถึง อคติที่เกิดจากตัวแปรก่อกวน (confounder bias) และ อคติที่เกิดจากตัวแปรคอลไลเดอร์ (collider bias) ว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การประมาณค่าสัมประสิทธิ์ผิดเพี้ยนและนำไปสู่การจัดสรรเงินทุนที่ไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังเสนอ แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ในรูปแบบรายการตรวจสอบสำหรับมืออาชีพและเจ้าของสินทรัพย์ เพื่อนำการให้เหตุผลเชิงสาเหตุมาใช้ในการสร้างแบบจำลองการลงทุนอย่างเคร่งครัด
บทความเหล่านี้มาจากหนังสือ "Quantitative Trading: How to Build Your Own Algorithmic Trading Business" โดย Ernest P. Chan ซึ่งเป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่สอง โดยให้ภาพรวมที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการสร้างธุรกิจการซื้อขายเชิงปริมาณที่เป็นอิสระ ผู้เขียนเริ่มต้นด้วยการกำหนดการซื้อขายเชิงปริมาณและกล่าวถึงว่าเทรดเดอร์อิสระสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างไรเมื่อเทียบกับสถาบันขนาดใหญ่ เนื้อหาส่วนใหญ่สำรวจ กระบวนการแบ็คเทสติ้ง (backtesting) อย่างละเอียด โดยเน้นการใช้ภาษาโปรแกรมมิ่งยอดนิยมอย่าง MATLAB, Python, และ R พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาดทั่วไปเช่น อคติมองไปข้างหน้า (look-ahead bias) นอกจากนี้ยังมีการอภิปรายที่สำคัญเกี่ยวกับ การบริหารความเสี่ยง (risk management)โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ สูตร Kelly (Kelly formula) เพื่อกำหนดการใช้เลเวอเรจที่เหมาะสมที่สุด ตลอดจนหัวข้อพิเศษเกี่ยวกับการปรับกลยุทธ์ตามสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงและการใช้ ปัญญาประดิษฐ์/การเรียนรู้ของเครื่อง (AI/ML) โดยเฉพาะเทคนิค metalabeling เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการซื้อขาย
รายงานจาก Deutsche Bank Research ฉบับนี้ เปรียบเทียบบทบาทของ ทองคำ กับ บิตคอยน์ ในฐานะสินทรัพย์สำรองของธนาคารกลาง โดยมีฉากหลังเป็นปี 2025 ที่ทั้งสองสินทรัพย์ทำราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ รายงานระบุว่า บิตคอยน์มีคุณสมบัติหลักหลายประการคล้ายคลึงกับทองคำ เช่น อุปทานคงที่และ การกระจายอำนาจ ซึ่งเพิ่มความน่าดึงดูดในฐานะแหล่งเก็บมูลค่า รายงานนี้วิเคราะห์แนวโน้มการนำไปใช้ ความผันผวน และสภาพคล่องของทั้งสองสินทรัพย์ โดยสรุปว่า ทั้งทองคำและบิตคอยน์มีแนวโน้มที่จะปรากฏอยู่ในงบดุลของธนาคารกลางภายในปี 2030 นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวถึง กฎหมาย US BITCOIN ACT และความสนใจในการจัดตั้งทุนสำรองบิตคอยน์เชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจเป็นการส่งสัญญาณถึงความเชื่อมั่นในอนาคตของคริปโตเคอร์เรนซี
เอกสารประกอบด้วยคู่มือการขายที่กว้างขวางซึ่งครอบคลุมหัวข้อต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจวิสกี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสกอตแลนด์ เนื้อหาส่วนใหญ่เน้นไปที่การปฏิบัติตามกฎระเบียบของสหราชอาณาจักร โดยให้รายละเอียดเกี่ยวกับข้อกำหนดของ WOWGR (Warehousekeepers and Owners of Warehoused Goods Regulations) และ AWRS (The Alcohol Wholesaler Registration Scheme) รวมถึงหน้าที่ของ HMRC (Her Majesty's Revenue and Customs) นอกจากนี้ ยังให้ข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับ สก๊อตวิสกี้ ตั้งแต่คำจำกัดความตามกฎหมาย ประเภท ของวิสกี้ กระบวนการผลิต และ ปัจจัยด้านรสชาติ ซึ่งปัจจัยสำคัญคือ ประเภทและขนาดของถังไม้โอ๊ก คู่มือนี้ยังมีรายการคำศัพท์ที่ครอบคลุม คู่มือภูมิภาควิสกี้ของสกอตแลนด์ และข้อมูลเกี่ยวกับการ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ การ จัดเก็บ และการ บรรจุขวด เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับการดำเนินงานของบริษัท
รายงานของ Goldman Sachs นี้ให้ภาพรวมกลยุทธ์ระดับโลกเกี่ยวกับคำถามที่ว่าตลาดหุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) นั้นอยู่ในภาวะฟองสบู่หรือไม่ โดยสรุปว่า มูลค่าประเมินมีการยืดตัวแต่ยังไม่ถึงระดับของฟองสบู่ในอดีต นักวิเคราะห์ยอมรับว่ามี สัญญาณบางอย่างที่คล้ายกับฟองสบู่ครั้งก่อน เช่น ราคาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและความเข้มข้นของตลาดที่สูงมาก อย่างไรก็ตาม พวกเขาชี้ให้เห็นถึง ความแตกต่างที่สำคัญ เช่น การเติบโตของเทคโนโลยีที่ถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและ งบดุลที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ ของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในปัจจุบัน รายงานดังกล่าวยังเปรียบเทียบตัวชี้วัดมูลค่าประเมินต่างๆ เช่น P/E Ratio และ PEG Ratio กับช่วงฟองสบู่ดอทคอม และแนะนำให้นักลงทุน ให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยง แม้จะยังไม่เกิดภาวะฟองสบู่ในขณะนี้
แหล่งข้อมูลเหล่านี้เป็นงานวิจัยของ Goldman Sachs โดยมีเนื้อหาหลักสองส่วนที่แตกต่างกัน: ส่วนแรกคือการวิเคราะห์ตลาดหุ้นจีน โดยระบุว่าการชุมนุมครั้งล่าสุดขับเคลื่อนด้วยความคาดหวังด้าน "ภาวะเงินเฟ้อ" และ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และประเมินความยั่งยืนของตลาดกระทิงแบบช้าๆ โดยเน้นว่า สภาพคล่อง เป็นปัจจัยสำคัญ และคาดการณ์ว่าอาจมีการปรับพอร์ตการลงทุนจำนวนมากจากภาคครัวเรือนและสถาบันเข้าสู่ตลาดทุน อีกส่วนหนึ่งมุ่งเน้นไปที่การเมืองของญี่ปุ่น โดยให้ภาพรวมของการเลือกตั้งประธานพรรค Liberal Democratic Party (LDP) และนโยบายทางเศรษฐกิจของแต่ละผู้สมัคร รวมถึงจุดยืนของพวกเขาเกี่ยวกับ นโยบายการเงินของ Bank of Japan (BOJ) และความคาดหวังว่าผลการเลือกตั้งจะส่งผลกระทบต่อกำหนดเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปของ BOJ อย่างไร นอกจากนี้ยังมีรายงานเกี่ยวกับการที่รัฐบาลจีนพยายามต่อสู้กับ "การแข่งขันที่ทำลายตัวเอง" (Involution) ในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มผลกำไรของบริษัท
เอกสารวิจัยจากดอยช์แบงก์ในชื่อ "MAGA → MEGA" ลงวันที่ 15 กันยายน 2025 นี้ ได้นำเสนอภาพรวมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในตลาดทุน โดยมุ่งเน้นที่การเปรียบเทียบระหว่างตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งผู้เขียนได้ตั้งข้อสังเกตว่า ความโดดเด่นของสหรัฐฯ ที่ยาวนานถึง 15 ปี อาจกำลังสิ้นสุดลง เนื่องจากตลาดหุ้นยุโรปเริ่มมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปีล่าสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาในแง่ของ การประเมินมูลค่า (Valuation) และ ความเข้มข้นของดัชนี ซึ่งตลาดสหรัฐฯ มีความเข้มข้นสูงจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เจ็ดอันดับแรก นอกจากนี้ บทวิเคราะห์ยังสำรวจปัจจัยทางเศรษฐกิจ เช่น การเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่ช่องว่างเริ่มแคบลง และความกังวลด้าน ความยั่งยืนทางการคลัง ของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่เยอรมนีประกาศมาตรการกระตุ้นทางการคลังครั้งใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะสนับสนุนการเติบโตของยุโรปในอนาคต.
รายงานวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ทั้งสองฉบับมีเนื้อหาเกี่ยวกับการวิเคราะห์สถานะของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และความคาดหวังเกี่ยวกับทิศทางค่าเงินในอนาคต โดยฉบับแรกที่ชื่อว่า "Dollar Dominance and Dollar Depreciation" อธิบายว่า อิทธิพลของดอลลาร์ในเวทีโลกยังคงแข็งแกร่ง แม้จะมีสัญญาณการลดลงบ้างในบางพื้นที่ แต่ก็คาดการณ์ว่า ค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลง ในระยะอันใกล้นี้ เนื่องจากประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ไม่โดดเด่นเท่าที่ผ่านมาและมีการประเมินค่าสูงเกินไป รายงานฉบับที่สอง "Hedging Dollar Assets" ให้ข้อมูลจำกัดเกี่ยวกับ การปรับอัตราส่วนการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX hedging) โดยเฉพาะการลดการถือครองสินทรัพย์ดอลลาร์ของกองทุนบำนาญในยุโรปและออสเตรเลียในครึ่งแรกของปี 2568 แม้การปรับเปลี่ยนนี้จะมีจำกัด แต่ผู้เขียนมองว่า การปรับลดการป้องกันความเสี่ยง นี้เป็นมาตรวัดสำคัญที่สะท้อนถึง ความต้องการสินทรัพย์ดอลลาร์ที่ลดลง ของนักลงทุนทั่วโลก.
เอกสารฉบับนี้จาก Apollo Global Management วิเคราะห์สาเหตุของการชันตัวของเส้นอัตราผลตอบแทน ณ เดือนสิงหาคม 2025 โดยระบุประเด็นหลักสองประการ ได้แก่ การคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง และ ความท้าทายทางการคลังของสหรัฐอเมริกา รายงานชี้ให้เห็นว่าตลาดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางอย่างมีนัยสำคัญ และรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับการ เพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะ และ ค่าใช้จ่ายในการบริการหนี้ที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวถึง การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการถือครองหนี้รัฐบาล โดยมีนักลงทุนต่างชาติและภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ในขณะที่ธนาคารกลางลดการถือครองลง ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดพันธบัตรและเศรษฐกิจโดยรวม
แหล่งที่มานี้กล่าวถึง ความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับคุณภาพของข้อมูลเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา โดยเน้นไปที่การแก้ไขข้อมูลบัญชีเงินเดือนที่สำคัญ และการเปลี่ยนแปลงความเป็นผู้นำในสำนักงานสถิติแรงงาน (BLS) ผู้เชี่ยวชาญให้มุมมองที่หลากหลาย โดยบางคนกังวลเกี่ยวกับ ผลกระทบจากการลดงบประมาณและการแทรกแซงทางการเมือง ที่อาจเกิดขึ้น ขณะที่บางคนมองว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นการปฏิรูปที่จำเป็น รายงานยังชี้ให้เห็นถึง ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น จากข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือต่อตลาด เช่น พันธบัตรรัฐบาลที่คุ้มครองเงินเฟ้อ (TIPS) และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงเสนอ แนวทางในการประเมินข้อมูลที่มีปัญหา โดยพิจารณาแหล่งข้อมูลทางเลือกและตัวบ่งชี้หลายตัว
แหล่งข้อมูลเหล่านี้ให้มุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยแหล่งแรกนำเสนอ "AI ในฐานะเทคโนโลยีปกติ" แย้งว่า AI ควรถูกมองว่าเป็นเครื่องมือที่มนุษย์ยังคงควบคุมได้ ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าหรือภัยคุกคามที่มีศักยภาพ บทความนี้เน้นย้ำถึง การแพร่กระจายของ AI ที่ช้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนที่สำคัญต่อความปลอดภัย และเน้นว่า มนุษย์ยังมีบทบาทสำคัญ ในการควบคุมดูแลและนำ AI ไปใช้ แหล่งข้อมูลที่สองจาก McKinsey ให้มุมมองที่มองโลกในแง่ดีมากขึ้นเกี่ยวกับศักยภาพของ AI โดยเน้นไปที่บทบาทของ AI ในการขับเคลื่อน การปฏิวัติเชิงนวัตกรรมครั้งต่อไป บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า AI สามารถ เพิ่มความเร็ว ปริมาณ และความหลากหลายของแนวคิดในการออกแบบ และ เร่งการประเมินผลผ่านแบบจำลองจำลอง ทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจหลายแสนล้านดอลลาร์ในแต่ละปี แม้ว่าแหล่งข้อมูลทั้งสองจะรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่ AI นำมาซึ่ง AI แต่แหล่งข้อมูลหนึ่งจะเน้นย้ำถึง ความจำเป็นในการควบคุมมนุษย์และการแพร่กระจายอย่างระมัดระวัง ในขณะที่อีกแหล่งหนึ่งมองเห็น การเร่งนวัตกรรมและการสร้างสรรค์ เป็นแรงขับเคลื่อนหลักของ AI
แหล่งข้อมูลจาก YouTube ของ Nomura เป็นบทสรุปการวิเคราะห์ตลาดโลก โดยมุ่งเน้นที่การคาดการณ์และมุมมองเกี่ยวกับนโยบายการเงินและการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์หน้า ผู้ดำเนินรายการและผู้เชี่ยวชาญจากทีมวิจัยของ Nomura ได้ กล่าวถึงการประชุมนโยบายของธนาคารกลางหลักหลายแห่ง รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ ธนาคารแห่งแคนาดา ธนาคารกลางยุโรป ธนาคารแห่งอังกฤษ ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น ธนาคารอินโดนีเซีย และธนาคารกลางไต้หวัน การสนทนาครอบคลุมถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย การประเมินภาวะเงินเฟ้อ และ ผลกระทบจากการพัฒนาทางการเมือง เช่น การลาออกของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นและข้อถกเถียงเรื่องความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังมีการวิเคราะห์ ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด เช่น รายงาน CPI ของสหรัฐฯ และ แนวโน้มความเสี่ยงของตลาด รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินฝืดและความประมาทเลินเล่อของนักลงทุนในปัจจุบัน
แหล่งข้อมูลนี้คือ รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกไตรมาส 4 ปี 2025 ของ BNP Paribas โดยให้ภาพรวมเกี่ยวกับ ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจท่ามกลางความไม่แน่นอน บทความนี้วิเคราะห์แนวโน้มทางเศรษฐกิจมหภาคทั่วโลก รวมถึง การคาดการณ์ GDP อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ยังครอบคลุมกลยุทธ์ตลาดหลักที่เกี่ยวข้องกับ อัตราแลกเปลี่ยน สกุลเงิน สินค้าโภคภัณฑ์ และตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่ รายงานยังตรวจสอบประเด็นเฉพาะ เช่น ผลกระทบจากการปฏิรูปกองทุนบำนาญของเนเธอร์แลนด์ นโยบายภาษีการค้าของสหรัฐฯ ความเป็นอิสระของธนาคารกลาง และนำเสนอการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่สำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดโลก
งานวิจัยเหล่านี้มาจาก "Japan's Financial System: New Perspectives and Potential Risks in the Post-Global Financial Crisis Era" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชุดงานวิจัยทางเศรษฐกิจของมหาวิทยาลัย Hitotsubashi เนื้อหาครอบคลุมถึง การเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมการธนาคาร และ ตลาดหุ้น ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1990 และหลังวิกฤตการณ์การเงินโลก รวมถึงผลกระทบจากนโยบายการเงินและการพัฒนาเทคโนโลยี นอกจากนี้ยังศึกษาถึง กลไกการชำระเงินของครัวเรือนญี่ปุ่น และ ปรากฏการณ์บริษัทซอมบี้ ที่อยู่ร่วมกับ บริษัทไร้หนี้ ในระบบเศรษฐกิจ ภายในงานยังมีการพิจารณาถึง ธรรมาภิบาลของบริษัท และ การบริหารความเสี่ยงระดับองค์กร พร้อมทั้งวิเคราะห์ บทบาทของนักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็น ESG ในตลาดญี่ปุ่น