Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
มนุษย์เป็นสภาวะที่มีรูป (กาย, ลมหายใจ) และนาม (วิญญาณ, สัญญา, เวทนา, สังขาร) ซึ่งประสานกันและยึดโยงด้วยกรรม ทำให้จิตปรุงแต่งตามอารมณ์ เกิดเป็นความยึดถือในสิ่งไม่เที่ยง แปรปรวน จนเกิดกิเลส คือ ราคะ โทสะ โมหะ จึงจำเป็นที่เราต้องฝึกสมถะและวิปัสสนาเพื่อคลายความยึดถือในรูปนาม แม้แต่จิตก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ จิตจะค่อยๆแยกตัวออกจากกิเลส จิตคลายความยึดถือ จะเป็นผู้พ้นจากความทุกข์คือนิพพานได้ในที่สุด
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ตั้งไว้ที่ท่ามกลางอกแล้วแผ่ให้ตนเอง ผ่านไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกทิศทาง, จิตมีความสุข ปรารถนาดีต่อตนเองและผู้อื่น
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ธรรมชาติของจิตมัก "ส่งออก" ไปคิดเรื่องต่าง ๆ คล้าย "ลิง"โหนกิ่งไม้ไปมา หาก "เพลิน" ตามความคิด จะมีอารมณ์มาพร้อมกับความคิดนั้นๆเสมอ ถ้าไม่มีสติ จะเกิดการเกลือกกลั้ว นำไปสู่กิเลส ความเศร้าหมอง ราคะ โทสะ โมหะ ทำให้จิตขึ้นลงตามอารมณ์และตกอยู่ในบ่วงของมาร
การฝึกสติจึงจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อรอดพ้นบ่วงของมาร สติคือการระลึกรู้อยู่ที่ "ลมหายใจ" เป็นหลัก (เป็นที่เกาะ ที่จับ หรือเสา) สติจะทำหน้าที่แยกแยะส่วนประกอบต่าง ๆ ในใจ และ "รักษาจิต" ไม่เผลอเพลินไปตามอารมณ์ที่ติดมากับสิ่งนั้น โดยมีศีล สมาธิ ปัญญาเป็นเครื่องฝึกสติ
เมื่อมีสติรักษาจิต จะทำให้จิตไม่เข้าไปเกลือกกลั้วในอารมณ์ที่มากับผัสสะ ทำให้ไม่เกิดราคะ โทสะ โมหะ จิตจะไม่เศร้าหมอง และเมื่อควบคุมจิตได้ จะสามารถรอดพ้นจากบ่วงของมารได้ในที่สุด
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
- สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง หมายถึงสติต้องมีในทุกที่ ทุกเวลา
- สติมี 2 ประเภทคือ
การมีสติต้องมีทุกที่ทุกเวลาโดยเริ่มจากความเพียร การสังเกต รู้ตัวว่าจิตเรากำลังมีความฟุ้งซ่าน หรือ หดหู่ และเลือกใช้ธรรมะให้เหมาะสม สติจึงจำเป็นตลอดเวลา เพราะต้องปรับจิตให้เกิดสมดุล สติต้องรักษาอยู่ตลอด เปลี่ยนมิจฉาสติให้เป็นสัมมาสติ เกิดสมาธิ อุเบกขา ปีติ วิริยะ ธัมมวิจยะ เกิดปัญญา
-สติ คือสติปัฏฐานสี่ ต้องมีตลอดเวลา
-แตกต่างจากโพชฌงค์ ที่ต้องใช้ให้เหมาะสม ไม่ใช้ตลอดเวลา โดยแบ่งออกเป็น2กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 : ใช้ขณะที่จิตกำลังหดหู่ ซึมเศร้า ไม่ใช้ในขณะที่จิตที่ไม่สงบ จิตฟุ้งซ่าน เพราะยิ่งใส่ลม ใส่ฟืน ไฟก็จะยิ่งโหม ยิ่งฟุ้งซ่าน
1.1 ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ คือการไตร่ตรองใคร่ครวญธรรมะ คิดตริตรึก ภายในและภายนอก
1.2 วิริยสัมโพชฌงค์ คือ การเร่งความเพียรทางกายและทางจิต การถูกกระตุ้น
1.3 ปีติสัมโพชฌงค์ คือ คนอิ่มเอิบใจ ความร่าเริงบันเทิงใจ ปิติมีสองแบบอามิสและนิรามิส
กลุ่มที่ 2 : ใช้ขณะจิตที่กำลังฟุ้งซ่าน ไม่ใช้ใน จิตที่หดหู่ไม่แช่มชื่น ซึมเศร้า จิตก็จะยิ่งแย่ เหมือนการโรยขี้เถ้าชุ่มน้ำลงไป ใส่ฟืนเปียก หญ้าเปียกลงไป ในไฟกองน้อยๆ
2.1 ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ความสงบระงับจากในภายใน ไม่ต้องมีวิตก วิจารณ์
-ความสงบระงับทางกาย
-ความสงบระงับทางจิต
2.2 สมาธิสัมโพชฌงค์ ความที่จิตเป็นหนึ่ง เป็นอารมณ์อันเดียว ในภายใน
-มีวิตก วิจารณ์ คือแบบไม่มีอกุศล
-ไม่มีวิตก วิจารณ์ ว่างๆ
2.3 อุเบกขาสัมโพชฌงค์ สงบจนจิตตั้งมั่นเป็นอย่างดีจนจิตวางเฉยได้ แม้มีสิ่งมากระทบ ความมีใจเป็นกลาง เพราะเห็นตามเป็นจริง
-วางเฉยจากภายนอก
-วางเฉยจากในภายใน
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
อวิชชา (ความไม่รู้) เป็นปัญหาหลักและเป็นต้นตอของ เหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) ร่วมกับตัณหา กิเลส และอุปทาน โดยเฉพาะการ ไม่รู้แจ้งในอริยสัจ 4 และปฏิจจสมุปบาท อวิชชาปรากฏขึ้นตามปัจจัย และมีอาหารคือนิวรณ์ 5 (วิจิกิจฉา, ง่วงซึม, ฟุ้งซ่าน, โกรธ, พอใจ) ซึ่งเกิดจากการขาดสติและไม่สำรวมอินทรีย์ ทำให้หลงเข้าใจผิดว่าความทุกข์เป็นความสุข ต้องทำให้ วิชชา (ความรู้) เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการปฏิบัติ สมถะและวิปัสสนา สมถะ คือการทำสมาธิเพื่อให้จิตมีกำลัง ส่วน วิปัสสนา คือการใช้กำลังจิตนั้นพิจารณาเห็นสิ่งทั้งหลาย ตามความเป็นจริง ว่า ไม่เที่ยง เมื่อทำสมถะและวิปัสสนาอย่างต่อเนื่อง วิชชาเกิด อวิชชาค่อยๆดับลง เห็นทางออกจากวัฏสงสาร เกิดสัมมาทิฏฐิ มีความเพียร มีสติ และองค์มรรคแปดประการ ทำให้ปัญญาเจริญขึ้น นำไปสู่การ ดับเย็นแห่งทุกข์ คือ นิพพาน ในที่สุด
เนื้อหานี้เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจการปฏิบัติธรรมและผู้ที่กำลังแสวงหา ทางออกจากความทุกข์ หรือผู้ที่ต้องการเข้าใจรากเหง้าของปัญหาชีวิตตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา อวิชชา (ความไม่รู้) คือปัญหาหลัก เป็นเหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) ร่วมกับตัณหา กิเลสและอุปปาทาน อวิชชาคือการ ไม่รู้แจ้งในอริยสัจสี่และปฏิจจสมุปบาท มันถูกหล่อเลี้ยงด้วย นิวรณ์ห้า (เช่น ความอยาก, ความโกรธ, ความสงสัย) ซึ่งเกิดจากการขาดสติและไม่สำรวมอินทรีย์ ทำให้อยู่ในความเข้าใจผิดว่าความสุขนั้นยั่งยืน หนทางแก้คือการทำให้ วิชชา (ความรู้) เกิดขึ้น ด้วยการปฏิบัติ สมถะ (ทำสมาธิให้จิตมีกำลัง) และ วิปัสสนา (เห็นสิ่งต่าง ๆ ไม่เที่ยง ตามความเป็นจริง) การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิด ปัญญา ลดอวิชชาลง เกิด มรรคมีองค์แปด จนนำไปสู่ประโยชน์สูงสุดคือ นิพพาน (ความดับเย็นแห่งทุกข์)
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ธรรมปฏิบัติเรื่อง “ปัญญาวิปัสสนา” โดยพระครูสิทธิปภากร (หลวงพ่อ ดร.สะอาด ฐิโตภาโส) อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าดอนหายโศก จ.อุดรธานี
ฝึกสมาธิให้ชำนาญ จิตที่สงบจากสมาธิ จะมีกำลัง พิจารณาลงที่กายเรา เพื่อให้เกิดปัญญา ให้เห็นว่ากายเรานี้ไม่เที่ยง ไม่ควรไปยึดถือ ให้ละ ให้ปล่อยวาง กายเป็นเพียงธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบขึ้นมา เกิด-ดับไปตามธรรมชาติของเขา วิธีเดียวที่จะพ้นจากการเกิด-ดับ คือ การมีปัญญาเห็นความจริง กายนี้ ไม่ใช่ของเรา เราควบคุมไม่ได้ พิจารณาให้ปัญญาเกิด เพื่อการไม่เกิดอีก
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.