หลังม่าน #โอลิมปิก2024 ที่กรุงปารีส การเมืองฝรั่งเศสอยู่ในภาวะชะงักงัน เพราะ ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ยังไม่ได้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีขึ้นมาบริหารประเทศ แต่ให้รอโอลิมปิกจบก่อน แม้การเลือกตั้งจะเสร็จสิ้นลงไปก่อนพิธีเปิดโอลิมปิกเสียอีก โดยพรรคฝ่ายซ้ายสามารถรวมพลังสกัดพรรคขวาจัด จนสามารถชนะเลือกตั้ง แต่ก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้เพราะรวมเสียงได้ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ขณะที่พรรคขวาจัดก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้เช่นกัน จนดูเหมือนว่าการเมืองฝรั่งเศสอาจเดินมาถึงจุดวิกฤตทางการเมืองอีกรอบหนึ่ง WAY จึงเดินทางไปพูดคุยกับ ปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่และเลขาธิการคณะก้าวหน้า ผู้มีความรู้แจ้งและติดตามการเมืองฝรั่งเศสมาต่อเนื่อง เพื่อสะท้อนภาพการเมือง ‘ขวาหัน’ ในยุโรป จากกรณีล่าสุดคือ พรรคคาซอมบลีมองต์ นาซิยองนาล พรรคขวาจัดฝรั่งเศสที่ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มมากขึ้น กับคำถามว่าทำไมกระแสการเมืองขวาหันถึงได้เดินมาไกลเพียงนี้ ที่เขาเน้นยํ้าว่า ‘ฝ่ายซ้ายฝรั่งเศส’ แม้จะชนะเลือกตั้งก็จริง จนทุกคนบอกฝรั่งเศสคงความเป็น ‘ซ้ายหัน’ เอาไว้ได้ แต่ในระยะยาวนั้น ปิยบุตรฟันธงว่า ‘ขวาจัด’ มาแน่นอน
หนี้สินครัวเรือน ได้รับการพูดถึงบนหน้าข่าวท่ามกลางความกังวลใจของหลายฝ่าย เพราะมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นหนี้เสียที่อาจส่งผลสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย เพื่อไขตำตอบว่าหนี้คืออะไร ปัญหาหนี้สินครัวเรือนไทยมีบ่อเกิดจากอะไร และเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
และการลดดอกเบี้ยจะช่วยแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ ร่วมหาคำตอบกับ สฤณี อาชวานันทกุล หัวหน้าทีมวิจัยแนวร่วมการเงินที่เป็นธรรม ประเทศไทย (Fair Finance Thailand) จนไปถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้สินของคนไทยอย่างยั่งยืน
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2560 รองศาสตราจารย์อภิชาต สถิตนิรามัย แห่งคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เปรียบเปรยสภาพเศรษฐกิจไทยในวันนั้นว่าเป็นดั่ง ‘ต้มกบ’ แม้เวลาจะร่วงเลยมาเป็นเวลากว่า 7 ปีแล้ว อาจารย์อภิชาตยังคงยืนยันหนักแน่นว่า ประเทศไทยก็ยังอยู่ในภาวะต้มกบเช่นเดิม แต่ที่ร้ายแรงไปกว่าคือ นํ้าในหม้อต้มกบเดือดจัดยิ่งกว่าเดิม ในวาระครบรอบ 1 ทศวรรษการรัฐประหาร 2557 WAY ได้หอบคำถามทางเศรษฐกิจไปหาคำตอบกับอาจารย์อภิชาติ ภายใต้บทสัมภาษณ์ ‘ภูมิทัศน์เศรษฐกิจไทยในหม้อต้มกบ’ ผ่านมุมมองเศรษฐศาสตร์-การเมือง ที่ช่วยวิพากษ์เศรษฐกิจในปัจจุบันได้อย่างแหลมคม #หนี้เกษตรกร #หนี้ครัวเรือน #เศรษฐกิจไทย
ในจำนวนผู้ประกันตนนับ 12 ล้านคน ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับกองทุนประกันสังคม ไม่ได้เพียงแค่มนุษย์เงินเดือน แรงงานในระบบ หรือแรงงานอิสระทั่วไปเท่านั้น หากยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มักถูกภาครัฐมองข้ามไปอย่างกลุ่ม ‘คนพิการ’ ที่ต้องเผชิญกับความพิการซ้ำซ้อนของระบบสวัสดิการจากรัฐ จนกลายเป็นข้อจำกัดที่ทำให้พวกเขาเข้าไม่ถึงสิทธิอันพึงมี WAY ได้พูดคุยกับ นลัทพร ไกรฤกษ์ กองบรรณาธิการเว็บไซต์ ThisAble.me ผู้เคลื่อนไหวผลักดันเรื่องสิทธิคนพิการในหลากหลายประเด็นและเป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคมในทีม ‘ประกันสังคมก้าวหน้า’ "กฎหมายไทยไม่ได้มองว่า คนพิการเป็นคนที่มีสิทธิหรือเป็นผู้ทรงสิทธิ์ และไม่ได้มองว่าความพิการเกี่ยวข้องเรื่องสภาพแวดล้อมแต่มองว่าความพิการเป็นเรื่องปัจเจกที่คุณต้องไปแก้ไขความพิการของตัวเองก่อนแล้วค่อยกลับมาใช้ชีวิต ซึ่งค่อนข้างเป็นแนวคิดทางการแพทย์ แต่สำหรับเรามันล้าหลัง"
24 ธันวาคม 2566 ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งขึ้นอีกครั้งและเป็นการเลือกตั้งที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ ถ้าดูจากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีมากถึง 12 ล้านคน และจัดขึ้นพร้อมกันทั้งประเทศ ทุกภูมิภาค เป็นครั้งแรก การเลือกตั้งดังกล่าวคือการเลือกตั้ง ‘คณะกรรมการประกันสังคม’ ซึ่งผู้มีสิทธิเลือกตั้งก็คือเหล่าคนทำงาน ทั้งแรงงานในระบบ แรงงานอิสระ หรือที่เรียกว่า ‘ผู้ประกันตน’ ที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมทุกเดือน จะเป็นผู้เลือกบอร์ดบริหารจำนวน 7 คน เพื่อเข้าไปบริหารกองทุนประกันสังคม ซึ่งมีมูลค่ากว่า 2.4 ล้านล้านบาท ทว่า แม้จะเป็นการเลือกตั้งใหญ่ที่มีผลต่อสิทธิประโยชน์ของประชาชนนับสิบล้าน แต่กลับมีผู้ประกันตนที่รู้ข่าวการเลือกตั้งดังกล่าวเพียงหยิบมือ WAY เดินทางไปคุยกับ รองศาสตราจารย์ ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักวิชาการที่ศึกษาและยืนหยัดรณรงค์ต่อสู้เพื่อแนวคิดรัฐสวัสดิการในไทยอย่างขันแข็งมากที่สุดคนหนึ่ง ซึ่งในครั้งนี้เขาตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม พร้อมกับทีม ‘ประกันสังคมก้าวหน้า’ เพื่อหวังจะสร้างรัฐสวัสดิการถ้วนหน้าเพื่อคนไทยทุกคน และจะทำให้เงินในกองทุนประกันสังคมตั้งแต่บาทแรกจนถึงบาทสุดท้ายเกิดประโยชน์ต่อผู้ประกันตนอย่างแท้จริง
ใน EP ที่ 4 นี้ WAY ชวนคุยกับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พรรษาสิริ กุหลาบ อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เจ้าของงานหัวข้อวิจัยเรื่อง ‘การรายงานข่าวการประท้วง: บทบาทของสื่อมวลชนไทยในการชุมนุมและความรุนแรงทางการเมือง’ ถึงเรื่องจุดยืนของสื่อในสถานการณ์ทางการเมืองตั้งแต่เหตุการณ์พฤษภาประชาธรรม ไปจนถึงการชุมนุมของกลุ่มราษฎร ดำเนินรายการโดย ณัฐภัทร มาเดช และ วัชรวิชญ์ ภู่ดอก
"ถนอมเป็นผู้สืบทอดอำนาจที่สฤษดิ์สถาปนา" เป็นคำนิยามสั้นๆ ที่อธิบายถึงการขึ้นสู่อำนาจของจอมพลถนอม กิตติขจร ได้เป็นอย่างดี ตามความรับรู้และความเข้าใจของคนทั่วไปว่าเป็นผู้สืบทอดอำนาจของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แต่เอาเข้าจริงแล้วยังมีช่องว่างระหว่างบรรทัดที่ยังไม่ถูกอธิบาย WAY ชวนคุยกับ รศ.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้เขียนหนังสือ #เนื้อในระบอบถนอม ผ่านการสืบค้นข้อมูลและพบว่า แท้จริงแล้วการเปลี่ยนผ่านดังกล่าวไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เข้าใจกัน แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านอำนาจที่เหมือนเป็นการยึดอำนาจ มิใช่เพียงสืบทอดอำนาจ และผลของการลุแก่อำนาจเช่นนี้ จึงนำไปสู่เหตุการณ์เดือนตุลา
--- Interviewer: ณัฐภัทร มาเดช Video Creator: วัชรวิชญ์ ภู่ดอก Graphic Designer: ณขวัญ ศรีอรุโณทัย
"เพราะผมไม่ได้เกี่ยวอะไรกับจอมพลถนอม" นี่คือวรรคทองจากจากปากคำให้สัมภาษณ์เนื่องในโอกาสครบรอบ #50ปี14ตุลา ของ จันทนา ฟองทะเล หรือ อานันท์ หาญพาณิชย์พันธ์ ผู้เขียน 'จากดอยยาวถึงภูผาจิ' และสมาชิกวง 'ต้นกล้า' วงดนตรีไทยเพื่อชีวิต เขาคือ อดีตหนุ่มผมยาวในยุคแสวงหา ที่หันหลังให้กับ 'สายลมและแสงแดด' ต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ในวันที่ #14ตุลา ทั้งยังเป็นหนึ่งในฉากการสังหารหมู่นักศึกษาในช่วงฟ้าสางของวันที่ #6ตุลา จนเขาจำต้องหลีกลี้ไปยังยอดดอยในภาคเหนือ เพื่อจับอาวุธสู้กับรัฐไทยที่กดปราบพวกเขาในวันนั้น บทสนทนาฉบับเต็มนี้ แสดงให้เห็นความต่อเนื่องของขบวนการนักศึกษา ตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ไปจนถึง 6 ตุลาคม 2519 พร้อมประเด็นอันแหลมคมว่า คนในธรรมศาสตร์วันนั้นเป็น ‘คอมมิวนิสต์’ หรือไม่ หรือเพียงแค่สมาทาน ‘สังคมนิยม’ ซึ่งเป็นอุดมการณ์ที่เหมาะที่สุดในการสร้างความเป็นธรรมในสังคม อีกทั้งอานันท์ยังช่วยทำความเข้าใจขบวนการคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย นับจากการก่อตั้งจนถึงวัน ‘ป่าแตก’ ท้ายที่สุด อานันท์ได้ย้อนกลับมาพินิจพิเคราะห์ว่า แม้เหตุการณ์ 14 ตุลา จะล่วงเลยมา 50 ปีแล้ว แต่ทุกอย่างกลับยังคงเหมือนเดิม Interviewer: ณัฏฐชัย ตันติราพันธ์ Videographer: วัชรวิชญ์ ภู่ดอก Video Editor : เจนจิรา สิริพรรณยศ Graphic Designer: ณขวัญ ศรีอรุโณทัย
บทสนทนาถึงเรื่องราวการต่อสู้ทางความคิดกลางป่าเขาลำเนาไพรของคนหนุ่มสาวยุคแสวงหาเมื่อ 5 ทศวรรษก่อน เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยตุ๊กตาหมีน้อยใหญ่ในร้าน Four Bears ย่านสุทธิสารวินิจฉัย อันเป็นกิจการของอดีตนักสู้ผู้นี้
พลากร จิรโสภณ ปัจจุบันคือเจ้าของกิจการตุ๊กตาหมีเท็ดดี้แบร์ร่วมกับภรรยา แต่ในอดีตเขาคือหนึ่งในผู้ผ่านเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ในฐานะอดีตประธานศูนย์กลางนักเรียนแห่งประเทศไทย (ศรท.) ปี 2516 หนึ่งในผู้ชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในช่วงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และอดีตสหายที่จำต้องเดินทางจาก ‘โดม’ ถึง ‘ดอย’
ครบรอบ #50ปี14ตุลา ร่วมตามหาชิ้นส่วนประวัติศาสตร์เดือนตุลาที่หล่นหาย กับบทบาทการต่อสู้ของ ‘ขบวนการนักเรียน’ ที่มีความคิดก้าวหน้า แต่มักถูกผู้ใหญ่มองว่า ‘หัวขบถ’ ประเด็นข้อเรียกร้องของเหล่านักเรียนภายใต้ระบอบอำนาจนิยมในยุคนั้น มาจนถึง พ.ศ. ปัจจุบัน สถานการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลง
Decoding Violence: ซีรีส์ถอดรหัสความรุนแรง EP3 เมื่อ 'สื่อ' เป็นผู้สร้างความชอบธรรมให้แก่ความรุนแรง ใน EP ที่ 3 นี้ ชวนสำรวจการให้ความชอบธรรมและลดความชอบธรรมแก่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นโดยสื่อมวลชน ผ่านงานวิจัย ‘การรายงานข่าวการประท้วง: บทบาทของสื่อมวลชนไทยในการชุมนุมและความรุนแรงทางการเมือง’ ของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พรรษาสิริ กุหลาบ ซึ่งศึกษาแบบแผนการรายงานข่าวของสื่อในการชุมนุม และบทบาทของสื่อในการลดและให้ความชอบธรรมแก่ความรุนแรงโดยรัฐ ดำเนินรายการโดย ณัฐภัทร มาเดช วัชรวิชญ์ ภู่ดอก ณัฏฐชัย ตันติราพันธ์
Decoding Violence: ซีรีส์ถอดรหัสความรุนแรง EP2 เมื่อรัฐบาลพลเรือน 'แรง' ไม่แพ้รัฐบาลเผด็จการ ใน EP ที่ 2 นี้ ชวนสำรวจมิติความรุนแรงอันกระทำโดยรัฐ ผ่านงานวิจัย 'ความรุนแรงทางการเมืองโดยรัฐในสังคมไทย: แบบแผน วิธีคิด และการให้ความชอบธรรม (พ.ศ. 2548-2566)’ ของรองศาสตราจารย์ ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ ซึ่งศึกษาแบบแผนและวิธีคิดของรัฐเมื่อเกิดความรุนแรงเกิดขึ้น รวมไปถึงฉายภาพให้เห็นมิติความเหมือนและความแตกต่างในการใช้ความรุนแรงของรัฐบาลพลเรือนและรัฐบาลเผด็จการ ดำเนินรายการโดย ณัฐภัทร มาเดช และ วัชรวิชญ์ ภู่ดอก
Decoding Violence ซีรีส์ใหม่ของ WAY ที่จะพาผู้ฟังไปสำรวจความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมในมิติต่างๆ ทั้งสังคม รัฐ สื่อ และกฎหมาย ใน EP แรกนี้ ชวนพูดคุยว่าด้วยรูปแบบการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่คนกรุงเทพมหานครให้การยอมรับ รวมไปถึงมุมมองที่มีต่อความรุนแรงของชาวกรุงเทพในการเคลื่อนไหวรูปแบบต่างๆ โดยอ้างอิงจากผลสำรวจ ‘การเคลื่อนไหวแนวทางไม่ใช้ความรุนแรงในทัศนะของชาวกรุงเทพมหานคร’ ของ รองศาสตราจารย์ ดร.บุญเลิศ วิเศษปรีชา และ อุเชนทร์ เชียงเสน ดำเนินรายการโดย ณัฐภัทร มาเดช และ วัชรวิชญ์ ภู่ดอก ติดตามฟัง Decoding Violence: ซีรีส์ถอดรหัสความรุนแรงได้ใน Spotify (WAY) และ Youtube (WAY magazine) ทุกวันพุธเวลา 19:00 น.
หลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ชื่อของ กัณวีร์ สืบแสง กลายมาเป็นที่จับตามองในหน้าการเมืองไทย ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพียงหนึ่งเดียวของพรรคเป็นธรรม ภารกิจและความมุ่งมั่นที่จะสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นจริงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือพื้นที่ 'ปาตานี' ของเขายังยืนหนึ่งอย่างหนักแน่น ด้วยแนวคิด 'มนุษยธรรมนำการเมือง' ไม่ว่าเขาจะมีเสียงเพียงน้อยนิดหรือตัวคนเดียวลำพังในรัฐสภาเช่นไร แต่เขาเชื่อว่าด้วยประสบการณ์การทำงานด้านมนุษยธรรมของเขาในอดีต จะสามารถผลักดันเรื่องนี้ให้สำเร็จได้ WAY สนทนากับกัณวีร์ สืบแสง เลขาธิการพรรคเป็นธรรม เพื่อถามถึงความเป็นไปได้ที่จะสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนให้เกิดขึ้นในพื้นที่ปาตานี รวมถึงการเปลี่ยนประเทศไทยให้กลายเป็นประเทศที่สามารถยืนบนเวทีโลกในด้านสิทธิมนุษยชนได้
--- Interviewer: ณัฐภัทร มาเดช Video Creator: วัชรวิชญ์ ภู่ดอก Graphic Designer: ณขวัญ ศรีอรุโณทัย
"เมื่อก่อนชุมชนกับมหาวิทยาลัย มันไม่ได้มีรั้วแบ่งโซนตายตัวแบบทุกวันนี้... พอเราไม่สามารถเชื่อมโยงตัวเองกับเรื่องใกล้ตัวได้เราก็ไม่ผูกพันกับสังคมที่เราอยู่ ซึ่งมันอันตราย " WAY นั่งคุยกับเนติวิทย์ยาวๆ ตั้งแต่การเขียนประวัติศาสตร์สามัญชน การทำสำนักพิมพ์ การจัดการพื้นที่ของจุฬาฯ และชีวิตปีสุดท้ายของเขาในฐานะนิสิตเลว --- Interviewer : ณัฐภัทร มาเดช
หมายเหตุ: สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2566
ย้อนกลับไปช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 2500 ความรู้ ความทรงจำ และเรื่องราวของคณะราษฎรแทบมลายหายไปสิ้นจากสังคมไทย แม้แต่ชื่อของ ปรีดี พนมยงค์ เองก็ยังไม่เป็นที่เล่าขานในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วยซ้ำไป ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากความพ่ายแพ้ของเหล่าผู้นำคณะราษฎรในช่วงปลายศตวรรษก่อน จนทำให้เรื่องราวของคณะผู้ก่อการ 2475 ผู้กระทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ถูกลบเลือนให้หายไปจากความทรงจำของคนไทยอย่างตั้งใจ
ทว่าในเวลาต่อมา เรื่องราวของคณะราษฎรก็ได้กลับมาสู่ความสนใจของสังคมไทยอีกครั้ง พร้อมกับการตีความและเล่าเรื่องอย่างเป็นระบบ หนึ่งในบุคคลที่ทำให้เรื่องราวของคณะราษฎรและการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 กลับมาสู่สังคมไทยอีกครั้งก็คือ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ศาสตราจารย์พิเศษ สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้ผลิตงาน ประวัติการเมืองไทยสยาม พ.ศ. 2475-2500 โดยเล่าประวัติศาสตร์การเมืองนับตั้งแต่ช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมา ซึ่งมีแก่นเรื่องและการนำเสนอผ่านยุคสมัยของคณะราษฎร
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า คุณูปการของงานชิ้นนี้เป็นการคืนชีพให้กับคณะราษฎรได้ฟื้นขึ้นมามีที่ทางในสังคม หลังจากเคยถูกประวัติศาสตร์ฝังกลบไปก่อนหน้านี้
วันเวลาล่วงเลยผ่านไป ชาญวิทย์ย่างก้าวเข้าสู่วัย 80 กว่า ยังคงสอนหนังสือ เผยแพร่ความรู้ทางประวัติศาสตร์ และจับตามองสังคมไทยอยู่เสมอ แน่นอนว่าสำหรับชายชราผู้มีสายธารแห่งประวัติศาสตร์ไทยหลายร้อยกว่าปีทอดยาวอยู่ในจิตสำนึก การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในยุคสมัยต่างๆ ไม่เคยทำให้เขาต้องรู้สึกประหลาดใจ
จนกระทั่งวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 กับ 14 ล้านเสียงของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศ ก็ทำให้เขาถึงกับงงงวย และแปลกใจกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
“คนรุ่นผมไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นสิ่งนี้” ชาญวิทย์กล่าวประโยคนี้ซ้ำๆ ทว่าปนด้วยรอยยิ้ม
หลังชัยชนะของพรรคก้าวไกลในศึกเลือกตั้ง WAY เดินทางไปสนทนากับชาญวิทย์ เพื่อหาคำตอบว่าปรากฏการณ์ในครั้งนี้จะเป็นสัญญาณว่าประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปจริงหรือไม่
---
Interviewer : ณัฐภัทร มาเดช
หมายเหตุ: สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2566
เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังปิดหีบเลือกตั้ง และผลคะแนนต่างถูกรายงานโดยสำนักข่าวต่างๆ ก็เป็นที่แน่ชัดว่า ‘เซีย จำปาทอง’ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อของพรรคก้าวไกล ลำดับที่ 4 ได้ก้าวเท้าเข้าไปสู่รัฐสภาอย่างเต็มตัว จากคนที่เคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อสิทธิและชีวิตที่ดีกว่าของแรงงานผ่านสหภาพแรงงาน สู่การก้าวสู่สนามการเมืองในฐานะของตัวแทนประชาชน ผู้มีความฝันว่าจะสร้างประเทศที่แรงงานจะสามารถลืมต้าอ้าปากและมีชีวิตที่ดีได้ ทำความรู้จักตัวตนของ เซีย จำปาทอง และภารกิจของเขาได้ใน WAY CONVERSATION หมายเหตุ: สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2566 Interviewer: Piyanan Jina / Natthapat Mardech Videographer: Lattanaphon Thipmanee / Watcharawit Phudork Editor: Watcharawit Phudork Graphic Designer: Nakwan Sriarunothai
ปัญหาความไม่เป็นธรรม การกดขี่ขูดรีดแรงงาน สวัสดิการและค่าจ้างขั้นต่ำที่ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพ นับวันก็ยิ่งเป็นปัญหาหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ขบวนการแรงงานจึงต้องส่งเสียงให้แต่ละพรรคการเมืองหันให้ความสำคัญมากขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศการเลือกตั้ง 2566 ที่กำลังใกล้เข้ามา ที่สำคัญสิทธิแรงงานคงไม่อาจเกิดขึ้นได้หากไม่มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม WAY คุยกับ ศรีไพร นนทรีย์ นักสู้ในขบวนการแรงงาน นักจัดตั้งของกลุ่มสหภาพแรงงาน ย่านรังสิตและใกล้เคียง เพื่อผลักดันข้อเสนอของเหล่าแรงงานไปสู่นโยบายและการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม #WAY #แรงงาน #เลือกตั้ง66
หลังจากหันหลังให้กับวงการบันเทิง และลาจากอาชีพที่เธอรักและทำมากว่า 20 ปี วันนี้ ‘หมิว’ สิริลภัส กองตระการ เดินหน้าสู่เส้นทางใหม่กับการเปิดตัวเป็นว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตบางกะปิ ในนามพรรคก้าวไกล
มาสำรวจเส้นทางและตัวตนของเธอ ตั้งแต่ชีวิตในวงการบันเทิงที่การแสดงออกทางการเมืองมีราคาที่ต้องจ่าย คุณภาพชีวิตของคนเบื้องหลัง การเข้าสู่เส้นทางการเมือง จนสุดท้ายสิ่งที่เธออยากจะผลักดันในฐานะตัวแทนของประชาชน ซึ่งเธอหวังว่าการเดินทางครั้งนี้ของเธอ จะเป็นดั่งเทียนเล่มใหม่ที่ส่งต่อแสงสว่างสู่สังคมอันมืดมิดนี้ต่อไป
INTERVIEWER: NATTHAPAT MARDECH
VIDEO CREATOR: JESSADA KHIMSOOK , LATTANAPHON THIPMANEE
PHOTOGRAPHER: ANUCHIT NIMTALUNG
GRAPHIC DESIGNER: NAKWAN SRIARUNOTHAI
แม้ร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า จะถูกสภาผู้แทนราษฎรปัดตกไป แต่สมรภูมิการต่อสู้ยังไม่จบง่ายๆ เพียงเท่านี้
หนุ่มนิติคราฟต์เบียร์ในตำนาน - เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส. กทม. พรรคก้าวไกล ให้คำมั่นว่า หลังศึกเลือกตั้งครั้งหน้า หากพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล จะสามารถปลดล็อกกฎกระทรวงการผลิตสุราได้ภายใน 7 วัน และผลักดัน พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า ภาค 2 เข้าสู่สภาอีกครั้ง
“ถ้าเปรียบการต่อสู้เรื่องเหล้าเบียร์เป็นสงครามอย่างหนึ่ง และในสภาเป็นสมรภูมิใหญ่ เราแพ้ไปแค่นิดเดียว แต่ในสมรภูมิทางความคิด เราชนะทั้งหมดเลย วันนี้สังคมเข้าใจเรื่องนี้แล้ว คงไม่มีใครออกมาพูดแล้วว่าอย่าทำคราฟต์เบียร์เลย มันบาป”
การปลดแอกสุราและคราฟต์เบียร์ ไม่เพียงแค่เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงธุรกิจเหล้าเบียร์ได้อย่างเสมอภาคเท่าเทียม หากยังเป็นก้าวแรกที่จะสั่นสะเทือนไปถึงผู้มีอำนาจทางการเมืองและนายทุนผู้หนุนหลังรัฐบาล
'เพราะเสรีภาพในการดื่ม คือเสรีภาพของประชาชน
Interviewer: Artit Kenmee
Video Creator: Jessada Khimsook / Lattanaphon Thipmanee
Graphic Designer: Nakwan Sriarunothai
ยุกติ มุกดาวิจิตร รองศาสตราจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เห็นว่า ทุกวันนี้มหาวิทยาลัยที่เคยเป็นแหล่งประสิทธิ์ประสาทวิชา กลับบ่ายหน้าไปสู่ความเป็นอุตสาหกรรมมากขึ้น ตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 เมื่อถูกผลักออกนอกระบบ มหาวิทยาลัยจะต้องหารายได้ด้วยตนเองมากขึ้น คณะต่างๆ จึงเปิดหลักสูตรพิเศษเพื่อหารายได้จากค่าธรรมเนียมและค่าลงทะเบียนของนักศึกษา
แม้ระบบเช่นนี้จะทำให้มหาวิทยาลัยมีรายได้ก้อนโต และทำให้รายได้ของอาจารย์โดยรวมสูงขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เกิดการขูดรีดแรงงานของอาจารย์ขนานใหญ่ เช่น ต้องเพิ่มชั่วโมงการสอนมากขึ้น ต้องผลิตงานวิจัยมากขึ้น และยังต้องเร่งขอตำแหน่งทางวิชาการอย่างเร็วที่สุด เพื่อช่วยเก็บแต้มให้มหาวิทยาลัยต้นสังกัดสามารถไต่อันดับมหาวิทยาลัยโลก (world university rankings)
มหาวิทยาลัยบางแห่งตั้งเงื่อนไขให้อาจารย์ต้องตีพิมพ์ผลงานลงในวารสารวิชาการนานาชาติที่เรียกว่า วารสารเกรดสกอปัส (Scopus) มิฉะนั้นจะไม่อนุมัติเงินให้ทำวิจัย ซ้ำร้ายกว่านั้น จากที่เคยมีทุนส่งอาจารย์ไปศึกษาต่อต่างประเทศ มหาวิทยาลัยหลายแห่งยังตัดลดขั้นตอนนี้ด้วยการรับบุคลากรที่จบปริญญาเอกเท่านั้น แล้วโยกงบไปจ้างนักวิชาการต่างชาติให้มาทำวิจัยและตีพิมพ์ผลงานในนามมหาวิทยาลัยในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ภายใต้สัญญา ‘fellowship’
“ขณะเดียวกันการลงทุนกับบุคลากรของตนก็จะน้อยลง ทั้งๆ ที่อยากจะได้ผลงานไปขยับ ranking นี่คือความ toxic ของมหาวิทยาลัยไทย”