100 ไอเดีย ปั้นงานเสริม เพื่อเติมเงิน คริส กิลเลโบ เป็นนักเขียนขายดีติดอันดับ หนังสือและรายการพ็อดแคสต์ของคริสที่ช่วยแนะแนวทาง สร้างไอเดียให้กับคนที่อยากมีอาชีพเสริมของเขาได้รับความนิยมอย่างมาก ในแต่ละเดือนมีคนเข้าไปดาวน์โหลดเพื่อฟังพ็อดแคสต์ของคริสถึงเดือนละกว่า 2 ล้านครั้ง ในหนังสือเล่มนี้คริสจึงรวบรวมเอาอาชีพเสริมจากคนทั่วโลกที่ตัวเขาเองได้ค้นพบ มานำเสนอให้ฟังว่าคนเหล่านี้เกิดปิ๊งไอเดียจากอาชีพเสริมเหล่านั้นขึ้นมาได้ยังไง กระบวนการในการดำเนินงานจนกระทั่งกลายเป็นแหล่งรายได้ที่สอง ที่สาม นอกเหนือจากงานประจำมีอะไรบ้าง แถมยังบอกเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ และแนวคิดเอาไว้ให้อย่างน่าสนใจ ถึงแม้ว่าสิ่งที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้จะเป็นอาชีพเสริมของคนในต่างประเทศ แต่ก็ต้องบอกว่ามีหลายไอเดียทีเดียวที่น่าจะนำมาประยุกต์ จุดประกายเป็นอาชีพเสริมที่ทำในประเทศไทยเราได้ไม่แพ้กัน ที่สำคัญ ผู้คนที่ถูกบรรจุเรื่องราวเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้ เป็นคนธรรมดาที่ทำงานประจำเหมือนเราๆ นี่เอง ไม่ได้มีเงินทุนมหาศาล ไม่ได้มีมรดก โรงงาน ที่ดิน หรืออะไรใหญ่โต อาชีพหลายๆ อย่างของพวกเขาใช้อุปกรณ์ ข้าวของเครื่องใช้ที่หาได้ในบ้าน หรือไม่ก็เริ่มต้นอยู่ในห้องครัว บนโต๊ะทำงานที่ใช้งานอยู่เป็นประจำทุกเมื่อเชื่อวันนี่เอง เป็นหนังสือที่เหมาะมาก ในยุคที่รายได้ทางเดียวคือความประมาท และ Passive Income ก็ไม่ใช่แค่หลักการขายฝัน แต่เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับเราทุกคนเสียแล้ว

เราเคยเชื่อกันว่าการตัดสินใจของคนเรา หรือเลือกที่จะทำอะไร ขึ้นอยู่กับว่าเราได้รับข้อมูลมามากเพียงพอหรือยังนั้น มันไม่ใช่เลย แต่มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่แวดล้อมข้อมูลเหล่านั้นอยู่ต่างหาก และวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่การให้ข้อมูลเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องให้ความสำคัญกับวิธีการนำเสนอข้อมูล การเลือกวิธีสื่อสาร เพื่อที่จะโน้มน้าวให้คนยอมเปลี่ยนพฤติกรรมได้ และนั่นคือสิ่งที่หนังสือเล่มนี้จะเล่าให้เราฟัง

หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นมาตั้งแต่ปี 1954 หรือเกือบ 70 ปีที่แล้ว ซึ่งถือว่านานมากทีเดียว และก็ได้กลายหนังสือคลาสสิคที่ขายดีอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และถูกนำไปใช้เป็นหนังสือ หนังสือเล่มนี้จะมาตีแผ่ ให้เราเข้าใจว่า สถิติมีภาษาอันลึกลับซ่อนอยู่ การที่มีคนพูด หรือคุณเห็นโฆษณาว่า ช่วยลดคราบหินปูนได้ถึง 20% หรือบอกว่าอัตราค่าแรงเพิ่มสูงขึ้นกว่ารัฐบาลที่แล้วถึง 40% ความจริงแล้ว มันมีข้อเท็จจริงและเล่ห์กลมากมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำพูดที่ใช้ในการสื่อสารพวกนี้ คุณดาร์เรลล์ ฮัฟฟ์ จึงเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา เพื่อให้เราได้เห็นว่า เวลาที่สื่อ องค์กร รัฐบาล หรือผู้มีอำนาจใดๆ ก็ตาม เวลาที่เขาจะเอาตัวเลขสถิติที่ดูแล้วเหมือนข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อถือมากๆ เพราะมันมาจากการสำรวจมาบอกเราเนี่ย ความจริงแล้วมันมีการต่อเติม เสริมแต่ง เลือกใช้ประโยค เลือกใช้คำ ปิดบังอะไรเล็กๆ น้อยๆ เพื่อทำให้เราตีความผิดๆ ได้เยอะแยะมากมายเต็มไปหมด

การแสดงออกของร่างกายเป็นการสื่อสารที่ซื่อสัตย์มากกว่าคำพูด เพราะในขณะที่เราสามารถเสแสร้งแกล้งพูดโกหกได้ต่างๆ นานาโจ แต่สีหน้า นิ้ว มือ เท้า และการหายใจของเรากลับพยายามสื่อสารสิ่งที่เรารู้สึกอยู่จริงๆ โจ นาวาร์โร อดีตเอฟบีไอ ที่มีประสบการณ์ในการอ่านคนมาอย่างยาวนาน ได้รวบรวมความรู้ทั้งหมดที่เขามีเกี่ยวกับการอ่านภาษาร่างกายของมนุษย์เอาไว้ในหนังสือเล่มนี้ คราวนี้เราจะได้รู้กันสักทีว่า ตกลงคนที่เรากำลังคุยด้วย เขากำลังรู้สึกอะไรกันแน่

สำหรับใครที่คุ้นเคยกับแนวคิดการทำธุรกิจแบบญี่ปุ่นดีอยู่แล้ว หนังสือเล่มนี้อาจจะไม่ใช่ของแปลกใหม่หรือน่าตื่นใจอะไร แต่ก็เหมาะกับการปัดฝุ่น เคาะสนิมมุมมองและความคิดในการธุรกิจที่อาจจะเฉื่อยชา หรือเหนื่อยล้าจากสถานการณ์โรคระบาดที่ต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายเดือน ให้หวนกลับมาคิดทบทวนถึงสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ นั่นคือการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและการพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง จากมุมมองของนักเขียนเกาหลี ที่พาเราไปแอบส่องวิธีคิดจากอดีตถึงปัจจุบันของธุรกิจญี่ปุ่น โดยเล่าผ่านกรณีศึกษาต่างๆ แบบย่อยง่าย อ่านไม่นานก็จบเล่ม เชื่อว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะให้ทั้งกำลังใจและไอเดียใหม่ๆ ในการพัฒนาธุรกิจและตนเองของผู้อ่านได้อย่างแน่นอน

ผลงานเล่มล่าสุดของคุณหมอประเสริฐเล่มนี้ ไม่ได้มีแค่เนื้อหาเกี่ยวกับจิตวิทยาการเลี้ยงเด็ก แต่รวบรวมเอาการแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตทุกแบบเอาไว้แบบ One Stop Service เรียกว่าอ่านเล่มเดียว ใช้งานได้ทั้งบ้าน ที่ชอบที่สุดในเล่มนี้คือเรื่องของการจัดการอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์โกรธ อารมณ์เบื่อ อารมณ์ทุกข์ ซึ่งเป็นเหมือนของสามัญประจำชีวิตที่ต้องเวียนวนเข้ามาอยู่กับเราแทบทุกวี่วันในชีวิต เราอาจจะคุ้นเคยกับการได้รับการอบรมสั่งสอนมาว่า รัก โลภ โกรธ หลง เป็นสิ่งไม่ดี อารมณ์คือกิเลส การแสดงอารมณ์แสดงว่าเราเป็นคนที่ได้เคยได้รับการฝึกฝนขัดเกลา เป็นคนหยาบ แต่หนังสือเล่มนี้ช่วยเปิดหูเปิดตาให้เราเข้าใจว่า อารมณ์เป็นสิ่งมีประโยชน์ มันคือสิ่งที่ทำให้เรารู้ว่าเรายังมีชีวิต ยังเป็นมนุษย์ และอารมณ์ไม่ใช่สิ่งที่เราจะควบคุมได้ แต่ต้องจัดการกับมันต่างหาก

ผลงานเล่มล่าสุดของคุณหมอประเสริฐเล่มนี้ ไม่ได้มีแค่เนื้อหาเกี่ยวกับจิตวิทยาการเลี้ยงเด็ก แต่รวบรวมเอาการแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตทุกแบบเอาไว้แบบ One Stop Service เรียกว่าอ่านเล่มเดียว ใช้งานได้ทั้งบ้าน ที่ชอบที่สุดในเล่มนี้คือเรื่องของการจัดการอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์โกรธ อารมณ์เบื่อ อารมณ์ทุกข์ ซึ่งเป็นเหมือนของสามัญประจำชีวิตที่ต้องเวียนวนเข้ามาอยู่กับเราแทบทุกวี่วันในชีวิต เราอาจจะคุ้นเคยกับการได้รับการอบรมสั่งสอนมาว่า รัก โลภ โกรธ หลง เป็นสิ่งไม่ดี อารมณ์คือกิเลส การแสดงอารมณ์แสดงว่าเราเป็นคนที่ได้เคยได้รับการฝึกฝนขัดเกลา เป็นคนหยาบ แต่หนังสือเล่มนี้ช่วยเปิดหูเปิดตาให้เราเข้าใจว่า อารมณ์เป็นสิ่งมีประโยชน์ มันคือสิ่งที่ทำให้เรารู้ว่าเรายังมีชีวิต ยังเป็นมนุษย์ และอารมณ์ไม่ใช่สิ่งที่เราจะควบคุมได้ แต่ต้องจัดการกับมันต่างหาก

Big Data ของกูเกิ้ลเผยความจริงที่ทำลายสามัญสำนึกของเรามากมาย เช่น เราเชื่อกันว่าคนที่อยู่ในเมืองจะเครียดว่าคนที่อยู่ต่างจังหวัด แต่ความจริงคนที่อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดเสียอีกที่เครียดกว่าคนเมือง เราเคยเชื่อว่านักบาสเก็ตบอลระดับซุปเปอร์สตาร์น่าจะมาจากครอบครัวคนผิวสี ในย่านยากจน และต้องพยายามสุดชีวิตที่จะเป็นนักบาสยอดฝีมือเพื่อหลุดพ้นสู่ชีวิตใหม่ แต่วิทยาศาสตร์ข้อมูลกลับบอกว่า นักบาสดังๆ ใน NBA ล้วนมาจากครอบครัวชนชั้นกลางถึงฐานะดี มีการศึกษา เรียนโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยดีๆ กันทั้งนั้น หนังสือเล่มนี้พยายามอธิบายให้เราเข้าใจคน ว่าการเก็บข้อมูลจากคนมีความเสี่ยงที่ได้รับข้อมูลปลอมสูงมาก คุณถามไปเถอะ เก็บข้อมูลไปเถอะ สัมภาษณ์ไปเถอะ คุณไม่ได้ความจริงหรอก เพราะมนุษย์โกหก แต่กูเกิ้ลที่มีข้อมูลที่เป็นความจริงแท้จากคนจำนวนมหาศาล ทำให้พวกเขาเหมือนมีแท่นพิมพ์เงิน เพราะทำนายอะไรก็แม่น คาดเดาอะไรก็ถูกกว่าใคร โดยเฉพาะในเรื่องอัปลักษณ์ทั้งหลาย

ทุกวันนี้เราได้รับข้อมูล ข่าวสารความรู้เกี่ยวกับประโยชน์และโทษของอาหารประเภทต่างๆ มากมายในแต่ละวัน ที่สำคัญคือความรู้เหล่านั้นที่ออกมาจากแต่ละสื่อ แต่ละผู้เชี่ยวชาญ มันดูเหมือนจะขัดแย้งแย่งซีนกันจนชวนให้งงไปหมด เมื่อก่อนบอกว่าไม่ควรกินไข่มากเกินวันละฟอง เพราะไข่แดงไม่ดีต่อสุขภาพ แต่พอต่อมาไม่นานก็มีคนออกมาบอกว่า ไข่น่ะกินไปเถอะ กินเท่าไหร่ก็ได้ ไม่ได้ทำให้คอเลสเตอรอลสูงขึ้นหรอก หรือตอนโน้นสั่งห้ามนักหนาว่าอย่ากินน้ำมันหมู แต่เดี๋ยวนี้มีบางเพจออกมาบอกว่ากินน้ำมันหมูสิ ดีกว่าน้ำมันพืชอีกนะ ไหนจะนมวัว ไหนจะถั่วเหลือง ที่ถกเถียงกันไม่รู้จบว่าตกลงเป็นสาเหตุของโรค ควรงดกินหรือเปล่า ความชวนหัวของข้อมูลด้านอาหารที่ประเดประดังกันเข้ามา ทำให้เราไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดีใช่มั้ยล่ะ หนังสือของคุณหมอสองเล่มนี้จะมาช่วยไขข้อข้องใจเกี่ยวกับปริศนาอาหารพวกนี้นี่แหละ ด้วยการอธิบายอย่างมีหลักการและซัพพอร์ตด้วยงานวิจัยต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ เขียนด้วยภาษาง่ายๆ ที่ใครอ่านก็เข้าใจได้ทันที