Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

Q: สัมมาทิฏฐิในระดับโลกุตระและโลกียะเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร?
A: “สัมมาทิฎฐิ” คือ ความเห็นที่ถ้ามีแล้วจะทำให้กิเลสลด แบ่งเป็นโลกุตระและโลกียะ, “สัมมาทิฐิแบบโลกุตระ” หมายถึง เหนือโลก มีความเห็นความเข้าใจในอริยสัจสี่ ตรงที่เห็นและเข้าใจ เกี่ยวเนื่องกันตรงที่เป็นปัญญาที่เกิดขึ้นกับตัวเราเหมือนกัน ส่วน “สัมมาทิฐิแบบโลกียะ” หมายถึง ยังเนื่องด้วยโลก ยังอยากเกิด ลักษณะคือเริ่มด้วยความเชื่อ ความศรัทธาว่าบาป บุญมี โลกนี้มี โลกหน้ามี เข้าใจด้วยปัญญา ปัญญาที่เป็นโลกียะ จะรักษาเราให้อยู่ในทาง ไม่ให้ออกนอกทาง เราสามารถพัฒนาศรัทธา ลงมือปฏิบัติจริง ทำจริงแน่วแน่จริง จะทำให้เกิดปัญญา ที่เป็นปัญญาในระดับโลกุตระต่อไปได้
Q: ศรัทธากับปัญญาอย่างไหนประณีตมากกว่ากัน
A: ปัญญามีความปราณีตมากกว่า ท่านเปรียบเทียบไว้กับนม เมื่อผ่านกระบวนการหมักเคี่ยวจนในที่สุดจะได้เนยใส เพราะฉะนั้น เราต้องเปลี่ยนความเชื่อเป็นปัญญาด้วยการปฏิบัติ หากเพียงแค่ฟังเป็น “สุตตมยปัญญา” แต่พอเราใคร่ครวญเป็น “จินตมยปัญญา” เมื่อใคร่ครวญแล้ว ลงมือทำให้เห็นผลเป็น “ภาวนามยปัญญา”
Q: คนธรรมดาสามารถปฏิบัติจนถึงโลกุตตระได้หรือไม่?
A: ตราบใดที่คำสอนของพระพุทธเจ้ายังอยู่ และมี "ผู้ที่เคยทำได้" (พระพุทธเจ้าและพระอริยสาวก) เป็นเครื่องยืนยัน เราทุกคนก็สามารถทำได้เช่นกัน แม้ว่าหนทางอาจต้องใช้ความเพียรพยายาม แต่ก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่จะลงมือทำ
Q: ถ้ายังสงสัยการมีของภพหน้าจัดว่าเป็นวิจิกิจฉาใช่หรือไม่?
A: ถ้ามีวิจิกิจฉาแสดงว่าไม่เชื่อ เราไม่ควรจะหยุดอยู่ที่แค่ความเชื่อ แต่ควรจะลงมือทำ ตั้งสติ ทำสมาธิ เราจะรู้ได้ด้วยปัญญา เมื่อรู้ได้ด้วยปัญญาแล้ว เราก็ไม่ต้องอาศัยความเชื่อตามคนอื่น แต่เรารู้เฉพาะตนว่ามันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เมื่อเราได้ยินได้ฟังอะไรมา เราต้องโยนิโสมนสิการว่าตรงตามมรรค 8 หรือไม่ ถ้าใช่ให้ลงมือทำ ถ้าไม่ใช่อย่าทำ
Q: สัทธรรมปฏิรูปคืออะไรจะรู้ได้อย่างไร?
A: เมื่อได้ยินได้ฟังอะไรมาให้นำมาเทียบเคียงกับพระไตรปิฏก โดยท่านแบ่งสัทธรรมปฏิรูป ไว้เป็น 2 อย่างคือ “สัทธรรมปฏิรูปที่เป็นปริยัติ” ในส่วนนี้เป็นข้อมูลเนื้อหา ที่ไม่ได้อยู่ในส่วนสังคายนา และ “สัทธรรมปฏิรูปที่เป็นอธิคม” เช่น พอมีสถานการณ์เกิดขึ้น แล้วโกรธ เกลียด ไม่พอใจ ก็พอจะบอกได้ว่าเป็นสัทธรรมปฏิรูป เพราะแสดงความหวั่นไหวออกมา
Q: อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้มีมิจฉาทิฏฐิ และทิฏฐิอะไรร้ายแรงที่สุด?
A: สิ่งที่ร้ายแรงที่สุด คือไม่เชื่ออะไรเลย ไม่เชื่อว่าบาปมี บุญมี เพราะจะทำให้เขาจะทำชั่วยังไงก็ได้ ไม่เกรงกลัวอะไรเลย สิ่งที่ร้ายแรงรองลงมา คือเชื่อแต่มีที่พึ่งไม่ถูกต้อง เช่น พึ่งท้องฟ้า ภูเขา ให้เราไตร่ตรองโดยแยบคายแล้วจึงเชื่อ จะทำให้เราละมิจฉาทิฏฐิ มีสัมมาทิฏฐิ สามารถที่จะบรรลุธรรมได้
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.