Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: โจทก์ภิกษุด้วยอาบัติปาราชิกในการอวดอุตริมนุษยธรรม
A: “ภิกษุใดอวดอุตริมนุสธรรม ที่ไม่มีในตน เป็นปาราชิก เว้นไว้แต่เข้าใจผิด” เป็นแม่บทที่พระพุทธเจ้าบัญญัติเอาไว้
“อุตริมนุษธรรม” คือ ธรรมที่เหนือมนุษย์ ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์เป็นอุตริมนุสธรรม ส่วนธรรมของมนุษย์ทั่วไปคือศีล 5
“อวด” คือ พูดว่าตัวเองทำได้ แต่ไม่ได้แสดงให้ดู หากอวดอุตริมนุษธรรมที่ไม่มีจริง ไม่มีแล้วบอกว่ามี พระท่านจะอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ ยกเว้นเข้าใจผิดว่ามี แต่ความจริงไม่มี
Q: เมื่อรู้ว่าถูกหลอกเอาทรัพย์ไปเป็นจำนวนมาก เราควรวางจิตอย่างไร?
A: ถ้าเป็นพระภิกษุ ท่านไม่มีสมบัติอะไรนอกจากบาตรและจีวร ท่านพูดได้แค่ว่ามีของหาย หากพระไปแจ้งตำรวจว่ามีคนมาขโมยของแล้วตำรวจจับโจรเข้าคุก ท่านจะปาราชิก กรณีญาติโยมทั่วไป ถ้าของหายจะตามเอาก็ตามได้ แต่ขอให้ใจของเรา ไม่ควรจะเคียดแค้น ไม่ผูกเวร เพราะมันไม่คุ้ม เพราะความเคียดแค้น ผูกเวรจองเวร จิตใจเราจะไม่เป็นสุข
Q: นั่งสมาธิแล้วจิตกระเพื่อม ส่ายไปมาขวาซ้าย ๆ มีวิธีแก้อย่างไร?
A: หากมั่นใจว่าไม่ใช่อาการทางกาย การที่จิตกระเพื่อมนั้น คือ การปรุงแต่งของจิต ให้เราตั้งสติขึ้น โดยใช้อนุสติ 10 อย่าง อันใดอันหนึ่ง ในที่นี้ใช้อานาปานสติ เมื่อเรามีสติระลึกรู้อยู่กับลมหายใจ ไม่ตามการปรุงแต่งทางกายนั้นไป การปรุงแต่งทางกายก็จะระงับ จิตตริตรึกอยู่กับลม อาการทางกายนั้นก็จะอ่อนกำลัง ทำให้มากพัฒนาให้มาก
Q: ผู้ร่วมทำการสังคายนาพระไตรปิฎกต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้นหรือ?
A: การสังคายนาครั้งแรกมีขึ้นหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ 3 เดือน โดยจะมีเฉพาะเหล่าภิกษุขีณาสพ ทั้งหมด 500 รูป “การสังคายนา” เป็นการนำคำสอนของท่านมาพูด เมื่อเข้าใจตรงกันก็สวดขึ้นพร้อมกัน และท่านได้จัดหมวดหมู่ เพื่อสะดวกในการจดจำ ให้เป็นรูปแบบของภาษาที่จะรักษาคำสอน เรียกระบบนี้ว่า “ระบบพระไตรปิฎก”
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: “ความทุกข์ที่เป็นไปสามรอบ” เป็นอย่างไร?
A: ข้อความนี้มาในปฐมเทศนา พระสูตรที่ชื่อว่า “ธรรมจักรกัปวัฒนสูตร” ท่านได้ตรัสถึงอริยสัจสี่ที่มีรอบ 3 อาการ 12 ก็คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พิจารณาทั้ง 4 อย่าง ๆ ละ 3 รอบ
รอบที่ 1 รู้ว่า “นี้คือทุกข์”
รอบที่ 2 รู้หน้าที่ที่ต้องทำกับทุกข์ ตัณหาต้องละ คือ การตระหนักว่าหน้าที่ต่อทุกข์ คือ “ต้องกำหนดรู้”
รอบที่ 3 รู้ว่า “ได้ทำหน้าที่เสร็จแล้ว”
Q: วิมุตกับนิพพาน ต่างกันอย่างไร?
A: “วิมุต” คือพ้น / เหนือ แยกจากกัน ท่านเปรียบเทียบกับ ใบบัวกับน้ำ โดนกันอยู่ก็จริงแต่มันไม่เนื่องกัน , ส่วน “นิพพาน” แปลว่า ดับ ใช้ในลักษณะดับจากกิเลส ดับไปในธรรมะของข้อใด ๆ เช่น เปลวไฟดับ คือดับไป
Q: เมื่อเข้าใจสภาวะของจิตแล้ว จะหลุดพ้นได้อย่างไร?
A: จิตยึดถือโดยความเป็นตัวตน ว่าเป็นตัวเราของเรา เป็นจิตของเรา จิตจึงมีตัวตน พอจิตไปรับรู้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร ผ่านวิญญาณ ก็ไปยึดสิ่งต่าง ๆ ผ่านวิญญาณ ว่านี่รูปของฉัน เวทนาของฉัน ซึ่งเข้าใจผิดมันจึงทุกข์ คือพอเราเพลินเราพอใจ นั่นคือ “อุปาทาน” คือความยึดถือ คือ “ตัณหา” เป็นเหตุแห่งทุกข์ มันจึงทุกข์ แต่พอเราเข้าใจสภาวะของจิตใหม่ให้ถูกว่า สิ่งทั้งหลายนั้น ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของฉัน ไม่ใช่ตัวฉัน ไม่ใช่ตัวตนของฉัน ไม่ใช่อัตตาของเรา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่เป็นตัวตนของเรา มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามสภาวะของมัน ความยึดถือมันจะอยู่ไม่ได้ พอมันอยู่ไม่ได้ มันก็ไม่ทุกข์ เพราะความยึดถือคือเหตุของทุกข์ ถ้าเราไม่มีเหตุของทุกข์ เราก็ไม่ทุกข์
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: ทำไมจึงต้องมีการเอื้อเฟื้อพระวินัย?
A: พระวินัยและสิกขาบทมีไว้สำหรับภิกษุสงฆ์ (หมู่ภิกษุ) เพื่อเป็นพื้นฐานในการปฏิบัติภาวนาให้จิตใจละเอียดและสูงขึ้น ไม่ได้มีไว้สำหรับพระพุทธเจ้า หัวใจสำคัญคือการมีความตั้งใจที่จะศึกษาและปฏิบัติตามเพื่อควบคุมกาย วาจา ใจ
Q: ทำไมไม่ควรฝากของมีค่าไว้กับพระ?
A: เพราะอาจจะทำให้เกิดอันตรายกับพระได้ และถ้าหากของหายหรือมีโจรปล้น พระก็จะถูกครหา เพราะฉะนั้น เงินทองและของมีค่าไม่ควรแก่สมณะไม่ว่าประการใดทั้งสิ้น รวมไปถึงไม่ควรฝากของที่เป็นวัตถุอนามาสด้วย
Q: ความแตกต่างระหว่างถวายพระกับถวายสงฆ์
A: การถวาย "พระ|ภิกษุ” คือ การเจาะจงให้พระรูปใดรูปหนึ่ง แต่การถวาย "สงฆ์" คือการถวายให้หมู่คณะทั้งหมด กรณีถวายแด่สงฆ์ หากพระบอกว่าถวายให้อาตมาก็ได้ แบบนี้ ผู้ถวายไม่ต้องทำตาม เพราะท่านจะผิดพระวินัย ทั้งนี้ ท่านมีวิธีแบ่งของที่ถวายแด่สงฆ์ ดังนี้
Q: วิธีการปลงอาบัติ? พระปลงอาบัติซ้ำ ๆ ได้หรือไม่อย่างไร?
A: คำว่า “ปลง” คือเปลื้อง หมายถึง ประกาศความผิดของตนเองออกมา ต้องมีภิกษุอีกองค์หนึ่งมารับฟังรับทราบว่ามีความผิดอะไร ข้อไหน พระสงฆ์จึงมีการปลงอาบัติ เพื่อให้พัฒนาและปรับปรุงตัว แต่หากผิดซ้ำซากพระอุปัชฌาย์ต้องไปเตือน เพราะการผิดซ้ำซากจะทำให้ยิ่งมีความผิดมากยิ่งขึ้นอีก ในพระพุทธศาสนาจึงมีการให้แก้ไขตั้งตัวใหม่ได้
Q: บทบัญญัติ: อย่าออกเสียงแข่งกันเวลาเรียนธรรมะ
A: มีสิกขาบทที่บอกว่า เวลาที่ออกเสียงในการเรียนธรรมะ อย่าไปออกเสียงพร้อมกับพระสงฆ์ อย่าไปออกเสียงดังแข่งกัน ถ้าพระสงฆ์สอนในขณะที่เรียนธรรมะด้วยกัน แล้วเกิดกล่าวสอนให้ผู้ที่เรียนธรรมะออกเสียงพร้อมกันไป การออกเสียงพร้อมกันไป ถือว่าเป็นอาบัติ คำว่า “กล่าวแข่งกัน” คือ พูดบาลี ท่านจึงไม่ให้กล่าวพร้อมกันในบริบทที่ว่าแข่งกัน เพราะฉะนั้น คำพูดที่ว่า “อย่าออกเสียงพระธรรมพร้อมกับพระสงฆ์” หมายถึงบาลี ก็คือจุดนี้
Q: ลักษณะของการกล่าวธรรมแสดงธรรม
A: ลักษณะการแสดงธรรม การกล่าวธรรม มี 3 รูปแบบ คือ 1) การบอกพุทธพจน์ที่เป็นบาลี 2) การแสดง คืออธิบายที่บอกนั้น 3) การท่องตามออกเสียงตามที่บอก (ออกเสียงบาลีตามข้อที่ 1) ก็คือการสวดมนต์นั่นเอง
Q: การพักร่วมกันกับพระภิกษุ
A: ห้ามฆราวาสที่เป็นผู้ชายหรือสามเณรนอนที่ในมุมบังหรือนอนที่เดียวกับพระเกิน 3 คืน เพื่อรักษาพระวินัยของพระสงฆ์ ถ้าเกินเป็นอาบัติ
Q: การใช้คำพูดที่สมควรแก่ภิกษุ (กัปปิยโวหาร) ในการใช้ฆราวาสไปขุดดินหรือตัดต้นไม้
A : มีสิกขาบทที่พระห้ามสั่งโยมไปขุดดิน พระท่านจึงต้องใช้คำพูดที่เป็น “กัปปิยโวหาร” (คำพูดที่สมควรแก่ภิกษุ) ในการที่จะให้ฆราวาสไปขุดดินหรือตัดต้นไม้ ยกตัวอย่าง “ต้องการหลุมตรงนี้” ซึ่งการที่ท่านบัญญัติข้อนี้ขึ้นมา ก็เพื่อเป็นการรักษาไว้ซึ่งศรัทธา
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: ถ้าเป็นคนที่เรียนมาสูง มั่นใจตนมาก ควรใช้ธรรมะข้อใดเตือนตนไม่ให้หลงไปในตน
A: ปัญหาของคนลักษณะนี้คือ “ทิฏฐิมานะ” หรือความยึดมั่นในความคิดเห็นของตนเอง ไม่ฟังผู้อื่น ธรรมะสำคัญที่ควรนำมาเตือนตนคือ “หิริโอตตัปปะ” ซึ่งหมายถึงความละอายและเกรงกลัวต่อบาป หากมีหิริโอตตัปปะมาก ก็จะสามารถเตือนตนด้วยตนได้ แต่หากมีน้อยก็ต้องอาศัยกัลยาณมิตรหรือบทเรียนจากผลของการกระทำมาช่วยเตือนสติ ส่วนการปริญญาการศึกษานั้นเป็นเรื่องของปริยัติ ซึ่งไม่ได้หมายความว่า ผู้ที่มีความรู้ปริยัติมาก จะมีปัญญาในการพ้นทุกข์เสมอไป
Q : นั่งสมาธิทบทวนทุกคืนจะช่วยแก้ไขในกรณีนี้ได้มากน้อยเพียงใด
A : การนั่งสมาธิเป็นสิ่งดี ทำให้จิตใจสงบและเป็นสมาธิ เมื่อจิตสงบลง กิเลสต่าง ๆ รวมถึงทิฏฐิมานะจะลดน้อยลง และอาจเกิดช่วงเวลาที่ทำให้เราฉุกคิดและสลัดความเห็นที่ผิด ๆ หรือความยึดมั่นถือมั่นในตนเองออกไปได้
Q: สันโดษพอใจตามฐานะเป็นอย่างไร
A: “สันโดษ” คือความพอใจในสิ่งที่ตนมีและได้มาโดยชอบธรรม, “การพอใจตามฐานะ” หมายถึงการปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับสถานภาพของตนเอง ไม่ฟุ่มเฟือยเกินควร เช่น กรณีของพระสงฆ์ ควรปฏิบัติตนให้สมกับสมณสารูป (เหมาะสมกับความเป็นสมณะ) แม้จะได้รับของที่มีมูลค่าสูง ก็ต้องพิจารณาถึงเจตนาของผู้ให้และความเหมาะสมก่อนนำมาใช้ โดยยึดหลักการที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติ คือรับสิ่งของเพื่ออนุเคราะห์และรักษาศรัทธาของผู้ให้ โดยพิจารณาว่าสิ่งนั้นไม่ก่อให้เกิดคำติเตียนและเหมาะสมกับธรรมวินัย
Q: จำนวนภิกษุในวันมาฆบูชานั้นเท่าไหร่กันแน่
A: แม้เราจะคุ้นเคยกับตัวเลข 1,250 รูป แต่เมื่อคำนวณจำนวนพระอรหันต์ทั้งหมดนับตั้งแต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้จนถึงวันมาฆบูชาแล้ว จะมีจำนวนประมาณ 1,345 รูป ตัวเลขที่แตกต่างกันนี้อธิบายได้ว่า ในวันนั้นมีพระอรหันต์บางส่วนที่ไม่ได้มาประชุมด้วย เช่น คณะพระภิกษุ 60 รูปแรกที่พระพุทธเจ้าส่งไปประกาศศาสนาในทิศทางต่างๆ ดังนั้น ตัวเลข 1,250 รูป จึงอาจเป็นจำนวนที่นับเฉพาะผู้ที่เดินทางมาประชุม หรือเป็นตัวเลขโดยประมาณ
Q: ความทุกข์ที่เป็นไปสามรอบเป็นอย่างไร
A: "ความทุกข์ที่เป็นไปในสามรอบ" คือขั้นตอนการทำความเข้าใจในเรื่อง "ทุกข์" ตามหลักอริยสัจ 4 ซึ่งมี 3 ระดับ ดังนี้
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: เมื่อมีความคิดในทางลบ ความคิดในทางอกุศล เกิดขึ้นมาจะทําอย่างไรดี?
A: ธรรมชาติของจิตที่มีกิเลสทำให้เศร้าหมอง คือเมื่อมีผัสสะผ่านเข้ามาจะทำให้มีกิเลสเกิดขึ้นในช่องทางใจ แสดงออกมาเป็นราคะ โทสะ โมหะ อย่างใดอย่างหนึ่ง กิเลสจะเอาสองทางเสมอ คืออยากได้มาก (ภวตัณหา) และอีกข้างหนึ่งคืออยากให้ไม่มี (วิภวตัณหา) เราจึงต้องฝึกตั้งสติให้มีกำลังด้วยการเจริญสติปัฎฐาน 4 และอนุสติ 10 และฝึกเห็นตามความเป็นจริง ทั้งนี้ จิต ความคิด ใจ เป็นคนละอย่างกัน เราต้องเลือกให้จิตของเราคิดหรือไม่คิดได้ ถ้าสติเรามีกำลังมากขึ้น ๆ เราเห็นโทษของความเพลิน จิตที่มีกำลังสติจะเป็นเกราะให้ความคิดอยู่ในกุศลธรรม มันจะทำให้ความคิดที่ผ่านเข้า-ออกถูกป้องกัน ถูกกำจัด ให้อยู่ในกุศลธรรมได้ดีมากขึ้น
Q: โลกียฌานกับโลกุตรฌานเหมือนหรือต่างกันอย่างไร?
A: เหมือนกันตรง ฌานของทั้ง 2 อย่าง ต้องใช้สมาธิเหมือนกัน ต่างกันตรง “โลกิยะ” ยังเกี่ยวเนื่องด้วยโลก ของหนัก อาสวะ มีทั้งสัมมาสมาธิและมิจฉาสมาธิ, ส่วน “โลกุตรฌาน” คือ นำสมาธินั้นมาใช้ให้อยู่ในลักษณะเหนือบุญเหนือบาป คือการเพ่งเห็นโดยความเป็นของปฏิกูล เห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นตามอริยะสัจสี่ แบบนี้คือจะไปสู่ระดับเหนือโลก พ้นจากโลก เป็น “สัมมาสมาธิ”
Q: จิตตั้งมั่น = สติสัมปชัญญะ = สติปัฏฐาน 4 ความเข้าใจนี้ถูกต้องหรือไม่?
A: สมาธิ คือ จิตที่ตั้งมั่น จิตที่เป็นอารมณ์อันเดียว ต้องอาศัยสติ มีสัมมาสติแล้วจึงจะมี สัมมาสมาธิได้ สติปัฎฐานสี่คือกาย เวทนา จิต ธรรม คือสัมมาสติ สัมมาสติจะทำให้เกิด สัมมาสมาธิ “สติสัมปชัญญะ” นัยยะแรก คือสติกับสัมปชัญญะ คือความรู้ตัวรอบคอบในทุกอิริยาบถ อีกนัยยะหนึ่งคือสติกับปัญญา คือสติปัญญา สติปัญญาจึงคือสติสัมปชัญญะ จะมีสติปัญญาได้ก็ต้องอาศัยสมาธิ มันก็จึงรวมเป็นก้อนเดียว มหาสติ มหาปัญญา อยู่ในสติสัมปชัญญะ
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: ทำสังฆทานชุดเล็กไปถวายแยกแต่ละรูปจากชุดใหญ่ได้หรือไม่?
A: “สังฆทาน” คือ ทานที่ให้กับหมู่ไม่เจาะจง คือผู้ให้เตรียมของไว้แล้วตั้งจิตว่า “จะถวายแก่หมู่สงฆ์โดยมีภิกษุรูปนี้เป็นตัวแทน” ส่วนการให้โดยเจาะจงจะตั้งจิตว่า จะถวายสิ่งนี้ให้กับพระรูปนี้ ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้ให้ ส่วนผู้รับ นิยามสังฆทานของพระพุทธเจ้า มันต้องมีการ “อุปโลกน์” หมายถึง ตั้งเป็นญัตติว่าของนี้ผู้ให้ไม่ได้ถวายแบบเจาะจง พระท่านก็จะพูดประกาศในที่นั้น จึงจะเรียกว่าเป็นสังฆทานได้ตามพระวินัย ส่วนจะได้บุญจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับศรัทธาของผู้ให้และผู้รับมีราคะ โทสะ โมหะน้อย ที่สำคัญคือเราต้องตั้งศรัทธาไว้ให้ถูก
Q: อยากทราบว่าเมื่อสมัครไปปฏิบัติธรรมแล้วจะทราบได้อย่างไรว่ามีการตอบรับหรือไม่?
A: ทุกท่านที่สมัครมาจะได้รับอีเมล์ตอบกลับ และหากท่านใดที่ต้องการสมัคร สามารถสมัครได้ที่ https://panya.org/course/phuthok
Q: มีหนี้สินติดตัวจะสามารถบวชได้หรือไม่?
A: บวชไม่ได้หากมีหนี้, มีงานที่ต้องทำตามพระราชาสั่ง, มีคดีความที่ยังไม่สิ้นสุด และมีโรคที่ท่านได้ห้ามไว้ แต่หากมีหนี้แล้วมีคนรับหนี้แทนสามารถบวชได้
Q: เมื่อภิกษุอาพาธมีระบบอะไรช่วยดูแลหรือไม่อย่างไร?
A: ที่โยมควรทำ คือถวายปัจจัยสี่อันควรแก่สมณะจะบริโภค ต้องมีคนอุปัฏฐากปวารณาเอาไว้ในการที่จะไปหาหมอ ไม่ใช่เอาเงินให้พระไปหาหมอ สิ่งที่ท่านสามารถฉันได้เลยโดยไม่ต้องมีคนประเคน เช่น มะขามป้อมแช่เกลือ และหากท่านจะฉันเพื่อรักษาโรค เช่น เนยใส น้ำผึ้ง ก็ฉันได้ แต่ต้องมีคนประเคน หรือหากมีผู้นำมายามาถวายไว้แล้ว ก็สามารถฉันยานั้นได้เลย และท่านสามารถบอกกับเพื่อนผู้ประพฤติพรหมจรรย์ได้
Q: โยมยังสามารถติดต่อกับพระหลังบวชได้มากน้อยแค่ไหน?
A: ให้พิจารณาความเข้ากันได้หรือความขัดกันกับที่ท่านเคยอนุญาตไว้หรือห้ามไว้ (ไม่ให้ทำ) แล้วนำมาเทียบเคียง หากเข้ากันกับที่ท่านห้ามเอาไว้ก็ไม่ควรทำ หากเข้ากันได้กับสิ่งที่อนุญาตไว้ก็ทำได้
Q: มุมมองของพระพุทธเจ้าต่ออิสตรี
A: แท้จริงแล้ว สตรีมิใช่ศัตรูของพรหมจรรย์ ความด่างพร้อยมิได้เกิดขึ้นเพราะสตรีโดยตรง แต่เกิดจากจิตใจของผู้ที่ขาดหิริโอตตัปปะ หากทั้งพระสงฆ์และสตรีไม่มีหิริโอตตัปปะก็อาจนำไปสู่ความหม่นหมองได้ เพราะฉะนั้น ทั้งสองฝ่ายควรสำรวมระวังในการอยู่ร่วมกัน หากมีการคลุกคลีก็ควรคลุกคลีด้วยเรื่องธรรม มิใช่เรื่องฆราวาส ที่นำไปสู่ความใกล้ชิดเกินควร โดยท่านได้วางแนวทางป้องกันไว้อย่างรอบคอบแล้ว หากรู้จักนำมาใช้ก็จะป้องกันได้
Q: ขอทราบความคิดเห็นกรณีโทษที่ควรได้รับทางโลกทั้งฝ่ายสีกาและนักบวชที่ประพฤติผิดศีลธรรม
A: พระพุทธเจ้าไม่ได้ลงโทษด้วยอาชญา ศาสตรา ถ้าเขาลาสิกขาไปแล้ว ท่านก็ไม่ได้ลงโทษใดอีก
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: การปวารณา มี 2 แบบ
A: “ปวารณาระหว่างพระสงฆ์” กระทำในวันออกพรรษา เปิดโอกาสให้พระสงฆ์ตักเตือนกันในด้านวัตรปฏิบัติ, “คฤหัสถ์ปวารณาต่อพระ” เป็นการออกตัวให้พระสงฆ์สามารถ ขอปัจจัยสี่ได้และควรกำหนด สิ่งของหรือมูลค่าไว้ให้ชัดเจน แต่หากปวารณาไว้แล้ว ไม่สามารถให้ได้ตามที่ถูกขอ ก็สามารถถอนหรือเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งนี้หากพระจะขอโดยไม่ปวารณา จะต้องขอกับญาติเท่านั้น
Q: ความหมายของคำว่า “กัปปิยโวหาร” ?
A: กัปปิยโวหาร แปลว่า คำพูดที่จะทำให้เหมาะสม ใช้ระหว่างพระและญาติโยม คำพูดที่ญาติโยมควรพูดกับพระคือ “ข้าพเจ้าถวายปัจจัยสี่อันควรแก่สมณะจะบริโภค มูลค่าเท่านี้ ได้มอบไว้กับไวยาวัจกรชื่อนี้ ถ้าท่านต้องการปัจจัยสี่อันใด ท่านสามารถไปขอกับไวยาวัจกรคนนั้นได้ ” ญาติโยมจึงควรนำเงินไปให้ไวยาวัจกร ไม่ใช่ให้พระโดยตรงและไม่ควรเอาเงินใส่ซองหรือย่ามพระ
Q: ไวยาวัจกรคือใคร ?
A: ไวยาวัจกร คือ ผู้รับผิดชอบจัดหาปัจจัยสี่แทนพระ และผู้ที่จะเป็นไวยาวัจกรก็ต้องปวารณากับพระด้วยว่ายินดีทำหน้าที่เป็นไวยาวัจกรให้ท่าน แล้วจึงจะกำหนดให้บุคคลนั้นเป็นไวยาวัจกรได้
Q: พระสงฆ์สามารถครอบครองที่ดิน รถยนต์ ได้หรือไม่ ?
A: การบวชเป็นไปเพื่อการกำจัดกิเลส สละโภคะน้อยใหญ่ ไม่ยินดีในการรับเงิน ทอง ที่ดิน ทาสหญิงหรือชาย หากท่านมีทรัพย์มาตั้งแต่ก่อนบวชแล้ว ก็ให้ตั้งจิตว่าจะสละทรัพย์เหล่านี้ ส่วนเรื่องเอกสารสามารถทำตามทีหลังได้
Q: กัปปิยโวหารเมื่อนิมนต์พระไปฉันที่บ้าน
A: กล่าวแค่ว่านิมนต์ไปฉันเช้าหรือฉันเพล เวลาไหน ไปรับหรือให้มาเอง ไม่ต้องบอกว่าจะถวายอะไร เมนูไหน ถึงแม้จะปวารณาว่าให้พระขอได้ ว่าต้องการฉันอะไร พระก็ไม่ควรขอ แต่หากเป็นกรณีที่พระเจ็บป่วย ขออาหารเพื่อระงับเวทนา ถึงแม้ผู้ถูกขอไม่ได้ปวารณาไว้ ก็ควรให้
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: ตั้งจิตอธิษฐานต่างกับอ้อนวอนขอร้องอย่างไร?
A: ท่านตรัสไว้ว่า “ถ้าจะสำเร็จอะไรได้ด้วยการอ้อนวอนขอร้อง ในโลกนี้จะไม่มีใครเสื่อมจากอะไร”, การอธิษฐาน คือ การตั้งใจมั่นอย่างแรงกล้าที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ เป็นการตั้งใจทำด้วยตัวเอง ไม่มีการอ้อนวอนขอร้อง ส่วนการอ้อนวอนขอร้องนั้นเป็นเพียงการอ้อนวอนขอร้องแต่ไม่ได้ลงมือทำ
Q: ศีลแปดกับศีลอุโบสถต่างกันอย่างไร?
A: เหมือนกันคือรักษาศีล 8 ทุกข้อเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่ “ศีลอุโบสถ” จะรักษาแค่วันหนึ่งคืนหนึ่ง พอเช้าก็ออกได้เลย กลับบ้านได้เลย ไม่จำเป็นต้องสมาทานศีล 5 อีก ส่วน “ศีล 8” ไม่มีเงื่อนไขเรื่องเวลา
Q: “ศีล” ถ้ารักษาได้ไม่ครบก็ไม่ควรรับศีล จริงหรือ?
A: รักษาศีล ดีกว่าไม่รักษาเลย แม้จะทำได้ไม่ครบ 5 ข้อ แต่ตั้งใจที่จะรักษาแม้เพียงหนึ่งข้อ ก็เป็นสิ่งดี ถ้าเราขอศีลซึ่งเป็นการตั้งเจตนาด้วยการกล่าวออกมา แล้วพระท่านให้ศีล เราควรตั้งเจตนาไว้ว่าเราจะทำให้ได้ หากเรารับศีลมาแล้วไม่คิดว่าจะทำจะรักษา รับแต่ไม่ทำ การกระทำเช่นนี้ไม่ควรทำ หากเรารับศีลมาแล้ว เราควรปรับจิตของเรา ให้ตั้งจิตไว้ว่าจะทำให้เต็มที่ แม้เพียงครึ่งวันก็ได้หรือทำข้อที่ทำได้จึงจะถูก แต่ก็ไม่ใช่ว่าฉันรักษาศีลไม่ได้ ฉันจะไม่ขอ ก็อย่าคิดอย่างนั้น การที่เรารักษาศีลไว้ได้แม้เพียงหนึ่งข้อ แม้เพียงหนึ่งช่วงเวลา ยังดีกว่าไม่รักษาเลย
Q: เมื่อต้องทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินแล้วยิงศัตรูเสียชีวิตผิด ศีลหรือไม่?
A: องค์แห่งการผิดศีลคือ 1) เจตนา 2) กระทำลงไป 3) มีคนตาย ถ้าไม่มีคนตาย ก็ไม่เจตนา อันนี้ไม่ผิดศีล ซึ่งถ้าครบองค์ 3 อย่างนี้ คือผิดศีล หากเขาไม่ตายแต่เราเจตนาจะฆ่าเขา เช่นนี้ก็เป็นบาปแต่อาจไม่ผิดศีล
Q: จะมีปัญญาเท่าทันความงมงายได้อย่างไร?
A: ศรัทธาต้องประกอบด้วยปัญญาจึงจะไม่งมงาย การอ้อนวอนขอร้องเป็นศรัทธาที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา เราต้องมีปัญญาในการแยกแยะว่า สิ่งไหนผิด สิ่งไหนถูก สิ่งที่ถูกคือเมื่อทำแล้วกิเลสลด สิ่งที่ผิดคือเมื่อทำแล้วกิเลสเพิ่ม และเราควรตั้งศรัทธาไว้ให้ถูกที่ ไม่ยึดติดในตัวบุคคล แต่ศรัทธาในระบบ ศรัทธาใน “พุทโธ” คือการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า “ธัมโม” คือพระธรรมคำสั่งสอน “สังโฆ” คือหมู่ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: การกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตชาติมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นได้อีก และคนเรามักจะทำแบบเดิม ใช่หรือไม่?
A: ไม่ใช่จะเป็นแบบนั้นทั้งหมด ทุกอย่างอยู่ที่เหตุ เงื่อนไข ปัจจัย ไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนอดีตกาล ทั้งนี้หากมีความเชื่อที่ว่า อดีตเป็นมาอย่างไร อนาคตก็เป็นอย่างนั้น การประพฤติพรมจรรย์จะไม่ปรากฏ ดังนั้น เมื่อเราฟังธรรมแล้ว ควรจับใจความให้ได้ ถึงหมวดธรรมะและคุณธรรมต่าง ๆ ที่ท่านยกมา
Q: เทวดามีกายทิพย์จะปวดเมื่อยได้ไหม?
A: เทวดากายละเอียด มนุษย์กายหยาบ ไม่ปวดเมื่อยเหมือนมนุษย์ แต่สิ่งที่มีเหมือนกันคือ ศีล สมาธิ ปัญญา และการบรรลุธรรม เพราะว่ามีจิตเหมือนกัน แต่ความยากง่ายจะต่างกัน เพราะจุดเริ่มต้นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
Q: เทวดาสิ้นอายุได้ใน 4 ลักษณะ
A: 1) ลืมทานอาหาร เล่นเพลินจนลืมทานอาหาร 2) บุญเพิ่มขึ้น คือเคลื่อนไปสวรรค์ชั้นที่สูงขึ้นไป 3) มีความโกรธ ทำให้บุญลดลง เศร้าหมอง 4) หมดอายุบุญ คือ ครบอายุบุญ
Q: เทวดาที่ไม่มีรูป (อรูป) รู้สึกได้ด้วยอะไร?
A: ท่านมีจิต นิ่ง ๆ อยู่อย่างเดียว ไม่สามารถติดต่อสื่อสารใดได้ เป็นดวงจิตนิ่ง ๆ เป็นพรมลูกฟัก จนกว่าจะหมดอายุไปเอง
Q: มองชีวิตหลังความตายด้วยทิฏฐิที่ถูกต้อง
A: ชาติหน้าจะมีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเหตุ เงื่อนไข ปัจจัย ถ้าเหตุปัจจัยให้มีชาติหน้าก็มี ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยให้มีชาติหน้า ชาติหน้าก็ไม่มี เกิดได้ ดับได้
Q: การทดลองของพระเจ้าปายาสิ | ปายาสิราชัญญสูตร
A: พระเจ้าปายาสิ ได้ทดลองนำคนมาผ่ามาหาจิตว่า จิตอยู่ตรงไหน ก็หาไม่เจอ บอกคนที่ทำความดีคิดว่าเขาจะไปสวรรค์แล้วกลับมาบอก ก็ไม่มีใครมา จึงมีความเชื่อว่า “แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี” ความเชื่อเช่นนี้เป็น "มิจฉาทิฎฐิ" เป็นการหาจิตโดยไม่แยบคาย
Q: คำตอบจากพระกุมารกัสสปะ วิธีหาจิตให้แยบคาย
A: จะหาจิตโดยใช้เครื่องมือที่เห็นได้ด้วยตา หูฟังได้ด้วยเสียงไม่ได้ เพราะจิตเป็นนาม เปรียบดังเคาะสังข์แล้วจะออกให้เป็นเสียง มันไม่ได้ วิธีหาจิตนั้นมีอยู่ คือใช้การตรวจสอบด้วยตาทิพย์ โดยเราจะต้องมีปัญญา หากเราไม่มี ก็ให้อาศัยความเชื่อ อาศัยคนที่มีปัญญา
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: วิธีพิจารณาเวทนาขณะเจ็บป่วย
A: คนเราตายได้ง่าย เป็นข้อที่เราต้องตระหนัก ความกลัวตายมี 2 แบบ คือ ความกลัวที่เป็นอกุศล ก็คือความกลัวที่จะตาย และความกลัวที่เป็นกุศล คือกลัวตกนรก ความกลัวตกนรกนี้เป็นกุศล เพราะจะทำให้เราตระหนักว่าเรายังมีบาปอกุศลกรรมใดหรือไม่ ที่จะทำให้ไปตกนรก ถ้ามีต้องรีบละ หากเคยทำผิดศีล ก็ให้สมาทานศีลขึ้นมาใหม่ เราต้องเข้าใจว่าสิ่งใดที่ทำไปแล้ว ก็ล่วงไปแล้ว เรากลับไปแก้ไขสิ่งที่เคยทำผิดไม่ได้ “อย่ากระนั้นเลย เราจะละสิ่งนั้นเสียเราจะตั้งใจทำใหม่” หากละได้แล้ว ก็ให้อยู่ด้วยปิติและปราโมทย์
Q: วิธีพิจารณาความกลัวการพลัดพราก
A: 1) พิจารณาจากของ เช่น ข้าวของเงินทอง ว่าสิ่งเหล่านี้เมื่อเราตายไปแล้วเอาไปด้วยไม่ได้ แต่หากเราตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา เมื่อเทียบทรัพย์ของเทวดากับเงินทอง เงินทองค่ามันน้อยมาก ๆ
2) พิจารณาจากคน คนที่เรารักมากที่สุดต่อให้เราตายไป โลกก็ต้องเป็นไปตามกรรม ใครทำกรรมดีก็ได้รับผลดี ใครทำกรรมชั่วก็ได้รับผลชั่ว
Q: วิธีตัดความกังวลใจ
A: วิธีที่ 1 เข้าสมาธิให้ลึก เราจะเข้าสมาธิที่ลึกได้ เราต้องตั้งสติ อย่ากังวลใจ อย่าเพลินไปตามอาการ เมื่อเราตัดได้จิตเราจะเป็นสมาธิ จิตจะแยกจากกายได้ ร่างกายก็จะได้พัก
วิธีที่ 2 ฟังบทโพชฌงค์และสติปัฎฐาน 4 การฟังธรรมะ จะทำให้เราจิตสงบเป็นสมาธิพอเรามีปิติ มีสุข มันก็จะส่งผลให้กายมีปิติ มีสุข ไปด้วย จะทำให้ร่างกายหายได้โดยควรแก่ฐานะหรือถ้าไม่หายแล้วตาย ก็ทำให้ไปดี ไปสวรรค์และถ้าเห็นความเกิดขึ้น เห็นความดับไป จะไปนิพพานได้ ไม่ก่อน ไม่หลังจากการตาย
Q: วิธีให้จิตอยู่เหนือกาย
A: การแยกจิตกับกาย ทุกขเวทนาอยู่ที่กาย รับรู้สุขทุกข์อยู่ที่จิต เราจะแยกจิตให้อยู่เหนือจากกาย เหนือจากเวทนาที่เกิดขึ้นในกาย เราต้องเห็นว่ากายนี้เป็นของไม่เที่ยง เวทนาเป็นของไม่เที่ยง เวทนาทั้งสุขและทุกข์นั้นไม่เที่ยง เห็นบ่อย ๆ จะเกิดความหน่ายคลายกำหนัด ปล่อยวางได้ในเวทนาทั้งสุขและทุกข์ เข้าใจว่าทั้งสุขและทุกข์นั้นไม่เที่ยง ไม่ยึดถือในทั้งในสุขและทุกข์ พอเข้าใจอย่างนี้ จิตของเราก็จะเหนือจากสุขและทุกข์ทางกาย เหนือโรคภัยไข้เจ็บ เหนือจากผัสสะที่เข้ามากระทบได้
Q: รักษาใจอย่างไรดีเมื่อเพิ่งรู้ว่าทำบุญกับอลัชชี?
A: ให้ตั้งจิตไว้ว่า “ถวายแด่สงฆ์ คือหมู่แห่งผู้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า หมายเอาผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โดยมีภิกษุรูปนี้เป็นตัวแทน” ให้ตั้งจิตไว้แบบนี้ แม้ผู้ที่รับจะเป็นภิกษุทุศีล แต่ด้วยความที่เราตั้งเจตนาไว้ดี บุญก็จะส่งผลมหาศาล ซึ่งทานที่ให้ไปนั้น มันจะส่งผลทั้งก่อน ระหว่าง และหลัง ให้เราตั้งศรัทธาให้ถูก โทษของศรัทธาคือที่ศรัทธาในตัวบุคคลนั้นมีอยู่ ท่านจึงให้เราตั้งศรัทธาไว้ที่ “พุทโธ” คือการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ตัวพระพุทธเจ้า, “ธัมโม” คือพระธรรมไม่ใช่ตัวหนังสือแต่หมายถึงองค์ความรู้, “สังโฆ” หมายถึง หมู่ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เช่นนี้จึงจะเป็นการตั้งศรัทธาไว้อย่างถูกต้อง
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดขึ้นตรงไหน?
A: อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรียกรวมว่า “ไตรลักษณ์” เป็นคุณสมบัติที่มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นระบบสมมุติทั้งหมด เรียกว่า “สังขตธรรม” ลักษณะ คือ มีการเกิดปรากฏ มีความเสื่อมปรากฏ เมื่อตั้งอยู่ มีภาวะอื่น ๆ ปรากฏ ก็คือธรรมที่มีการปรุงแต่งด้วยเหตุเงื่อนไขปัจจัย ถ้าคุณไม่เห็นว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่ใช่ตัวตน มันก็จะทำให้คุณ ยินดี พอใจ ยึดถือ เข้าใจว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ไปตลอด จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ พอมันเปลี่ยนแปลงไป เราจึงทุกข์ทันที ทุกข์เพราะไม่เป็นตามที่หวัง ที่เราไม่เห็น เพราะอวิชชาทำให้เราไม่เห็น เพราะพอเราเพลินพอใจ ตัณหา อวิชชา ทำงานคู่กัน ทำให้เราไม่เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตัณหาอวิชชาทำงานคู่กัน ทำให้เราเห็นว่าเป็นนิจจัง สุขขัง อัตตา ในสิ่งที่มันเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราจะรู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้ ต้องเกิดตรงที่เราไม่รู้
Q: ใครเป็นผู้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
A: เราจะเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้ด้วยปัญญาระดับ “ภาวนามยปัญญา” เราจะมีปัญญาที่เป็นภาวนามยปัญญาได้ ต้องทำตามมรรค 8 มีศรัทธา สติ สมาธิ ความเพียร ฟังธรรมใคร่ครวญธรรมอยู่เนือง ๆ ภาวนามยปัญญาจึงจะเกิดจึงจะเห็น สิ่งที่เราเข้าใจว่านิจจัง แท้จริงเป็น “อนิจจัง” เข้าใจว่าสุขแท้จริงคือ “ทุกขัง” เข้าใจว่าเป็นตัวตนแท้จริงนั้นมันเป็น “อนัตตา”
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: จะทำจิตให้สมดุลได้อย่างไรระหว่างธรรมกับหน้าที่ ?
A: เราต้องตั้งจิตให้เป็นสัมมาทิฐิก่อน ท่านให้เกณฑ์ของศีลไว้ คนที่ผิดศีล ฆ่าคน ต้องไปตกนรก การที่เราเข้าใจว่า ฆ่าคนแล้วไปสวรรค์ นั่นเป็นมิจฉาทิฐิ คนที่มีมิจฉาทิฐิแม้ตัวเองจะไม่ได้ไปออกรบเองก็จะมีคติที่ไป คือไปเกิดในนรกหรือเป็นสัตว์เดรัจฉาน และการเข้าใจว่าคนที่เป็นมิจฉาทิฐิทั้งหมด ต้องไปนรกทั้งหมดนั้นมันไม่แน่ อย่าเหมา มิจฉาทิฐินั้นจะมีสุดโต่ง 2 ข้าง ข้างหนึ่ง คือ เข้าใจว่า ที่จริงต้องไปนรกแต่เข้าใจว่าไปสวรรค์ สุดโต่งอีกข้างหนึ่ง คือเข้าใจว่า ทั้งหมดต้องไปนรก ให้เรามาตรงกลาง คือ สัมมาทิฐิ ว่าอกุศลที่เราทำไปมีอยู่ มิจฉาทิฐิกับทำผิดศีลนั้นไม่ดี “อย่ากระนั้นเลย เราจะละความเข้าใจผิดนั้นเสีย แล้วเราก็จะละการผิดศีลนั้นเสีย ละการฆ่าคนนั้นเสีย ก็จะทำสิ่งที่ควรทำ เว้นสิ่งที่ควรเว้น”
Q: อะไรคือสิ่งที่ควรทำ เว้นสิ่งที่ควรเว้น?
A: “สิ่งที่ควรเว้น” คือ เว้นการผิดศีล เว้นมิจฉาทิฎฐิ เว้นการฆ่าคน เว้นการกระทำที่กระตุ้นราคะ โทสะ โมหะ ให้มากขึ้น “สิ่งที่ควรทำ” คือ ตั้งจิตให้อยู่ในแดนกุศล เข้าใจว่าศีลคือสิ่งที่ต้องรักษา เข้าใจว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เมื่อเคยทำผิดศีลแล้วต่อมาเข้าใจถูก ก็เลิกพูดในสิ่งที่ผิด (ในที่นี้คือ เลิกพูดว่าฆ่าคนแล้วได้ไปสวรรค์) เมื่อทำสิ่งที่ควรทำ เว้นสิ่งที่ควรเว้นอย่างนี้แล้ว นั่นคือช่องทางที่เราจะดำเนินชีวิต ก็จะสามารถที่จะถึงกระแสพระพุทธเจ้า เป็นโสดาบันได้
Q: แล้วควรจะทำอย่างไร?
A: ให้เข้าใจว่าเราไม่ได้ทำกิจนั้นตลอดเวลา ให้ตั้งจิตให้เป็นกุศล ทำจิตไว้ให้ดี ตั้งเจตนาให้ถูก ให้เข้าใจว่าถึงยังไงก็แก้ไขได้ ไม่ใช่ว่าผิดศีลแล้วคือผิดหมด ให้เข้าใจว่าแม้ผิดศีลก็แก้ไขได้
Q: วางจิตทำหน้าที่ต่างกัน ผลต่างกันหรือไม่?
A: ท่านอุปมาไว้ดังรอยกรีด หากวางจิตเพื่อป้องกัน ไม่ได้มุ่งทำร้าย ก็อุปมาดังรอยกรีดบนน้ำ หากวางจิตที่หมายจะเอาชีวิต ฆ่าฟัน ก็อุปมาดัง รอยกรีดบนหิน ที่จะให้ผลหนัก
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: วิธีเจริญสติในเวลาทำงานทำอย่างไร?
A: เราต้องมีเครื่องระลึกถึงคือ “สติ” ในทุก ๆ อิริยาบถ ไม่ขัดเคือง มีเมตตาให้คนอื่น เวลาทำงานถ้ากิเลสเพิ่ม นั่นคือไม่มีสติในการทำงาน เวลาทำงานถ้ากิเลสลด นั่นคือมีสติในการทำงาน
Q: พระเครื่องไม่มีในพระพุทธศาสนาใช่ไหม?
A: มีหลังจากที่พระพุทธเจ้าท่านปรินิพพาน สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกถึงคุณของท่าน โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราควรทำ คือเดินตามทางมรรค 8 ไม่ใช่ห้อยพระ เพื่ออยากให้บันดาลสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้
Q: “สิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน ที่คิดได้รู้สึกได้ว่าเป็นตัวตน” และ “สิ่งที่ถูกหลอกว่าเป็นตัวตน” นั้นคือสิ่งใด?
A: สิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนคือ “ขันธ์ 5” สิ่งที่ถูกหลอกว่าเป็นตัวตนคือ “จิต” จิตหลอกตัวเองว่าจิตเป็นของเรา แล้วจิตก็หลอกตัวเองไปยึดถือขันธ์ 5 โดยความเป็นตัวตน ว่านั่นเป็นของเรา เป็นตัวตนของเรา มันล๊อกกันอยู่ 2 ชั้น ให้เราพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ความไม่ใช่ตัวตน เมื่อเห็นตรงนี้จะคลายความยึดถือและปลดล๊อกได้ ให้เรารักษาจิต ด้วยสติ ศีล สมาธิและปัญญา เมื่อความจริงปรากฏว่าจิตก็ไม่เที่ยง เมื่อเห็นความไม่เที่ยง จิตก็จะละเอียดลงๆ หลุดพ้นจากความยึดถือ อวิชชาที่อยู่ที่จิตก็จะดับไป และสิ่งเหลืออยู่ ก็คือจิตที่บริสุทธิ์นั่นเอง
Q: การใช้ชีวิตตอนอยู่นอกคอร์สปฏิบัติธรรม ?
A: เมื่อเรายังต้องอยู่ในสังคม สิ่งที่สำคัญ คือ “จิตใจ” ให้อยู่เหนือโลก เหนือผัสสะที่จะมาทำให้เราสุข ทุกข์ ขัดเคือง ลุ่มหลง ให้เหนือจากสิ่งเหล่านี้ด้วยสติสัมปชัญญะ เหนือด้วยสติปัญญา อย่าทำตัวเป็นคนหลุดโลก คือไม่สนคนอื่นหรือทำตัวประหลาด ให้ดูว่าเพื่อนที่ไปด้วยว่าเป็นกัลยาณมิตรไหม ชวนคุยเรื่องธรรมะหรือหากคุยเรื่องงานก็ให้คุยด้วยสัมมาวาจา หากคำพูดใดที่จะทำให้อกุศลเกิดก็อย่าพูด
Q: คนเลือกเกิดได้หรือไม่ ?
A: ทั้งได้และไม่ได้ หากเราทำดีรักษาศีล ก็เลือกเกิดไปสวรรค์ได้ หากเราผิดศีล ก็คือเลือกเกิดไปนรก หากจะเลือกไม่เกิดเลย ก็ต้องปฏิบัติตามรรค 8 จะไปนิพพานได้ หรือหากหมายถึงเลือกเกิดได้ แบบอยากรวย สวย หล่อ ต้องตั้งจิตอธิฐาน ซึ่งอาจจะได้หรือไม่ได้ก็ได้ ไม่แน่นอน
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: ถ้าอุปัชฌาย์ปาราชิกจะมีผลต่อการบวชอย่างไร?
A: ท่านบัญญัติไว้ว่าเหตุที่จะบวชไม่สำเร็จ คือ “วิบัติ 4 ประการ”
1) วัตถุวิบัติ คือ คนที่บวช พ่อ แม่ไม่อนุญาตให้บวช อายุต่ำกว่า 20 ปี เป็นโรคเรื้อน โรคมงคร่อ โรคลมบ้าหมู อวัยวะไม่สมประกอบ เคยถูกหลวงลงอาญาและไม่ใช่คน จึงต้องมีการไต่ถาม ตรวจสอบ ถ้ารู้ก่อนไม่ให้บวช คือ คนที่ไม่มีบาตร มีหนี้ ติดคดีความ ถ้ารู้ภายหลังต้องให้สึก คือเคยทำอนันตริยกรรม มีอวัยวะสองเพศ กะเทย ขันที การที่มารู้ทีหลัง คนที่บวชให้จะอาบัติ แต่พระที่บวชมาแล้วไม่อาบัติ
2) บริษัทวิบัติ ในหมู่พระขณะที่บวชนั้น จะต้องมีพระที่ไม่ปาราชิกเกิน 5 รูป ของพระที่อยู่ในในหัตถบาท และหากมีคนที่ไม่ใช่พระอยู่ในนั้น ก็วิบัติเช่นกัน
3) สีมาวิบัติ สถานที่ที่ใช้ในการบวชต้องได้รับการสมมติสีมาขึ้นอย่างถูกต้อง พระที่อยู่ในเขตสีมา ต้องอยู่ในหัตถบาส แต่ถ้าอยู่ในเขตสีมา แต่อยู่นอกหัตถบาสถือว่าบริษัทไม่บริสุทธิ์
4) กรรมวาจาวิบัติ ถ้าคนที่จะมาบวช กล่าวไม่ถูก กล่าวผิด ถือว่าวิบัติ
Q: ใครคืออุปัชฌาย์?
A: อุปัชฌาย์ หมายถึง ผู้นำเข้าหมู่ ตอนแรกกฎยังไม่มาก ภายหลังพอกฏระเบียบมากขึ้นก็ต้องมีผู้แนะนำสั่งสอน ผู้สั่งสอนและนำเข้าหมู่จึงเรียกว่า “พระอุปัชฌาย์” แต่บางทีพระอุปัชฌาย์อาจจะไม่ได้สอน ก็จะมีพระอาจารย์เป็นผู้สอน
Q: การจัดคอร์สในปัจจุปันมีที่ไหนบ้าง?
A: สถานที่จัด: วัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก) จ.บึงกาฬ วันที่ 6-14 ธันวาคม 2568 และ วันที่ 21 กุมภาพันธ์-1 มีนาคม 2569 การเดินทาง : เดินทางได้ด้วยรถทัวร์และเครื่องบิน ลงที่สนามบินอุดรธานี มีรถไปรับ (นัดเวลากันอีกครั้ง) ท่านสามารถสมัครและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.panya.org
Q: ธรรมะข้อใดที่สามารถนำมาใช้ในช่วงสงครามนี้
A: ให้จิตของเราไปตามกระแสของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วรักษาจิตเราให้ดี รักษาศีลให้ดี ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: อาชีวะของภิกษุ เรื่องการซื้อการขาย
A: พระห้ามซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนของด้วยตัวเอง เพราะผิดพระวินัย แต่หากมีไวยาวัจกร ทำหน้าที่ซื้อขายแทน สามารถทำได้
Q: วัตถุอนามาส วัตถุที่ไม่ควรแตะต้อง
A: วัตถุอนามาส เป็นของที่พระไม่ควรแตะต้องเพราะจำทำให้เกิดกิเลสได้ง่าย ได้แก่ 1) ศาสตราวุธ 2) เครื่องดักสัตว์ 3) วัตถุของมีค่า 4) เครื่องประโคมดนตรี 5) สัตว์เดรัชฉานตัวเมีย รวมถึงกะเทย ผู้หญิง เครื่องแต่งกายหญิง ตุ๊กตาที่เป็นผู้หญิง 6) ข้าวเปลือกหรือผลไม้ที่ออกรวงออกผลแล้ว
Q: ภิกษุกับการขับรถยนต์
A: ไม่มีระบุไว้ในพระวินัย แต่ความเห็นของอรรถกถาจารย์ในประเทศไทยห้ามพระขับรถ
Q: การดูแลบิดามารดาที่แก่เฒ่า
A: ท่านอนุญาตเรื่องการดูแล คือ การอำนวยความสะดวก เช่น หาคนมาดูแลท่าน การนำอาหารที่บิณฑบาตมาด้วยปลีแข้งของตัวเองเอาไปให้ ท่านอนุญาตให้เท่านี้ เกินกว่านี้จะอาบัติ
Q: เมื่อพระป่วยจะฉันอย่างไร?
A: สิ่งที่ท่านฉันได้หลังเที่ยง คือ น้ำผลไม้ที่ไม่ผ่านความร้อนไม่เติมน้ำตาลและน้ำเปล่า ท่านสามารถฉันได้โดยไม่ต้องมีเหตุ แต่ถ้าจะฉันเพื่อระงับเวทนา ท่านก็ให้พิจารณาก่อนค่อยฉัน ได้แก่ เภสัช5 น้ำต้มเนื้อเอาแต่น้ำ ข้าวยาคูแค่น
Q: ที่นอน
A: ที่นอนเตียงตั่งพระห้ามสูงเกินเอว ห้ามนอนเตียงตั่งยกสูง ห้ามไม่ให้เท้าของตั่งหรือเตียงเป็นรูปสัตว์หรือประดับด้วยทอง ฟูกต้องเป็นขนาดที่นอนได้คนเดียวห้ามหนาเกินคืบ หมอนต้องเป็นหมอนที่หนุนได้คนเดียว ห้ามมีหมอนข้าง
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q : วิธีเช็คจรรยาบรรณจริยธรรมในจิตเป็นอย่างไร?
A : ใช้มรรค 8 เป็นเกณฑ์ ท่านให้พิจารณาไตร่ตรอง ใคร่ครวญ โยนิโสมนสิการ ด้วยจิตที่เป็นสมาธิถึงความไม่เที่ยงอยู่เนือง ๆ เมื่อเราพิจารณาอยู่เนือง ๆ ความเข้าใจบางประการจะเกิดขึ้น แจ่มแจ้งขึ้นว่า เราไม่ควรทำอย่างนั้น แล้วเราจะกลับตัวได้ เราจะเตือนตนด้วยตนได้ ยิ่งเรากลับตัวได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ถ้าหากเราเตือนตนด้วยตนไม่ได้ก็ต้องให้คนอื่นเตือน สังคมเตือน การลงโทษหรือตกนรก
Q : การพยากรณ์ต่อวัสสการพราหมณ์จะเป็นใครในอนาคต
A : วัสสการพราหมณ์ ในโคปกโมคคัลลานสูตร ในอรรถกถาเขียนไว้ว่าพราหมณ์ท่านนี้ปรากฏว่าไปเกิดเป็นลิง เพราะเหตุที่สมัยหนึ่งเดินลงมาจากเขาคิชฌกูฏ เห็นพระมหากัจจายนะแล้วบอกว่าเหมือนลิง พระพุทธเจ้าท่านได้กล่าวว่า “ถ้าขอขมาจะเป็นการดี ถ้าไม่ได้ขอขมาหลังจากตายแล้วจะไปเกิดเป็นลิง” แต่เขาไม่ทำตาม
Q : วางจิตอย่างไรต่อข่าวในทางไม่ดีของพระ
A : “สงฆ์” แปลว่าหมู่ เพราะฉะนั้นเราไม่ควรเหมา การเหมาว่าพระทุกรูปจะเป็นแบบนี้ จะทำให้สรณะของเราเศร้าหมอง ให้เราขอขมาพระรัตนตรัย ด้วยการตั้งจิตแล้วขอขมาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอตั้งจิตเราต่อสรณะ 3 อย่างนี้ ไม่ควรติเตียนใคร ใครทำกรรมก็ได้ผลของกรรมนั้นไป
Q : ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแสดงให้ใครฟัง แสดงที่ไหน?
A : แสดงไว้ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี แสดงธรรมให้แก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 และเทวดาท่านก็ได้ยืนฟังด้วย
Q : อนาถบิณฑิกเศรษฐีทุบศาลพระภูมิมาจากสาเหตุใด?
A : อาจจะเป็นตอนที่จากเศรษฐีเป็นยาจก เรื่องราวทีสอดคล้องคือมาในนิทานธรรมบท ที่มีเทวดาตนหนึ่งอยู่ที่ซุ้มประตูบ้านของท่านบอกว่า ถ้าท่านยังให้ทานอยู่ท่านจะจนลงไปอีก ท่านเศรษฐีจึงทุบซุ้มประตูทิ้ง
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q : พุทธศาสนาในปัจจุบันนี้เจริญขึ้นหรือเสื่อมลง?
A : คำสอนหากมีคนนำมาทำนำมาปฏิบัติย่อมเจริญ แต่หากไม่มีคนนำมาทำนำมาปฏิบัติ คำสอนก็จะเสื่อมลง เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับการนำมาใช้งาน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำสอน ท่านกล่าวไว้ว่า “ธรรมะที่จะทำให้เจริญได้ คือ ความไม่ประมาท” เป็นประโยชน์ทั้งในปัจจุบันและต่อไป ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
Q : ศาสนาเดียวกันแต่ทำไมปฏิบัติต่างกัน
A : ความแตกต่างกันมีอยู่แล้ว เพราะท่านสอนไว้หลายอย่าง ครูบาอาจารย์แต่ละท่าน ท่านชำนาญด้านไหนท่านก็สอนด้านนั้น
Q : หลักการในการพิจารณาว่าอะไรเป็นธรรมวินัยตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
A : หากเราได้ยินได้ฟังจากใครก็ตาม แล้วเขาบอกว่านี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้เรารับฟังไว้ก่อน แล้วกำหนดบทอรรถและพยัญชนะให้ถูกต้อง จากนั้นนำไปเทียบเคียงในพระสูตรและพระธรรมวินัย ว่าเข้ากันได้ลงรับกันได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ให้ละทิ้งคำเหล่านั้นเสีย ถ้าได้คำสอนนั้นก็สามารถนำมาปฎิบัติได้
Q : สายมูกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
A : เราต้องรู้จักใคร่ครวญ พิจารณา แยกแยะ คือ โยนิโสมนสิการ พิจารณาตามมรรค 8 ตามหลักอริยสัจสี่ เราจะสามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนดีเป็นกุศลหรือสิ่งไหนไม่ดีเป็นอกุศล
Q : ทำพิธีแก้กรรม แก้กรรมได้จริงหรือไม่?
A : ทำให้สิ้นกรรมทำได้ แต่เราต้องทำด้วยตัวเอง คนอื่นจะทำให้ไม่ได้ การที่เราจะทำให้สิ้นกรรมได้ คือ การทำกรรมดี ทำตามระบบของมรรค 8 เราจะอยู่เหนือกรรมดีกรรมชั่วได้ เรียกว่า “สิ้นกรรม”
Q : ทำไมในสมัยปัจจุบันจึงมีผู้บรรลุพระอรหันต์ได้น้อยกว่าสมัยพุทธกาล
A : ท่านเปรียบดัง ทองคำแท้ คือ “สัทธรรม” และ ทองคำปลอม คือ ”สัทธรรมปฏิรูป” เมื่อไหร่ที่มีทองคำปลอมเกิดขึ้น ทองคำแท้ก็จะลดลง ที่เรารู้สึกลดลงเพราะมีทองคำปลอมอยู่มาก ดังนั้นเราจะรักษาสัทธรรมได้ด้วยการกลับมาที่คำสอนโยนิโสมนสิการด้วยปัญญา ด้วยการใช้มรรค 8 เป็นตัวตรวจสอบ
Q : วิธีดูที่พึ่งที่แท้จริง / ทองคำแท้ ทองคำปลอม
A : ใช้มรรค 8 เป็นเครื่องมือตรวจสอบ พิจารณาใคร่ครวญด้วยปัญญา ประกอบด้วยการทำการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้พระพุทธเจ้าท่านไม่อยู่แล้ว เราต้องเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: ไม่ควรไว้ใจในคนไม่คุ้นเคย แม้คนคุ้นเคยก็ไม่ควรไว้ใจ หมายความเช่นไร?
A: หมายความว่า ไม่ประมาทแม้ในคนที่คุ้นเคยหรือไม่คุ้นเคย คือให้เราระมัดระวัง ทั้งทาง กาย วาจา ใจ ก่อนที่เราจะคิด พูดหรือทำสิ่งใด กับทั้งคนที่คุ้นเคยหรือไม่คุ้นเคย เช่น หากเรามีความคุ้นเคยกับเพื่อนของเรา ก็ไม่ใช่ว่าเราจะถือวิสาสะ พูดไม่ถนอมน้ำใจเขา หรือ เรื่องของศรัทธา ศรัทธานั้นดีแต่โทษของศรัทธาก็มี คือในข้อดีก็มีข้อที่ต้องระวัง ให้รักษาความไม่ประมาทด้วยสติ รักษากันด้วยธรรมะ เราก็จะอยู่ได้กับทั้งคนที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย
Q: ขอทราบวิธีรับมือกับบุพการีที่มีอารมณ์แปรปรวน
A: ให้อดทน ให้มีเมตตา มุทิตา กรุณาและอุเบกขาต่อท่าน นึกถึงตอนที่ท่านเลี้ยงเรามา หน้าที่ ที่เราต้องกระทำต่อท่าน คือ ประดิษฐานให้ท่านมีศีล ศรัทธา จาคะและปัญญา ถ้าท่านยังไม่มี ต้องทำให้มี หาโอกาสเมื่อท่านพร้อมรับฟัง ท่านอารมณ์ดีตอนไหนก็ทำตอนนั้น
Q: นั่งสมาธิแล้วเกิดไอเดียดี ดีหรือไม่อย่างไร?
A: คำว่า ”ดี” ในที่นี้ไม่ใด้หมายถึงสุขเวทนา แต่หมายถึงความคิดที่ไม่ได้เป็น กาม พยาบาท เบียดเบียน คือถ้าคิดเรื่องที่เป็นกุศลสามารถคิดได้ เราสามารถใช้ประโยชน์จากสมาธิกับการเรียนหรือการทำงานก็ได้ แต่ที่ท่านเน้นสอนคือใช้มาในแนวทางของการพิจารณาความไม่เที่ยง การหลุดพ้น จะได้ประโยชน์สูงสุด
Q: สติคือการระลึกได้แล้วสติใช่ความคิดหรือไม่?
A: สติ คือ “ระลึกถึงที่ทำ จำคำที่พูดแล้วแม้นานได้” ส่วนความคิดไม่ใช่สติ แต่การระลึกถึงความคิดได้นั้นคือ “สติ”
Q: เมื่ออายุมากขึ้นควรปรับการนั่งสมาธิอย่างไร?
A: การปฏิบัติธรรมอยู่ที่จิต ไม่ได้ติดอยู่กับรูปแบบ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใดก็ปฏิบัติได้หมด
Q: เมื่อป่วยจนต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต ธรรมะข้อใดสามารถนำมาใช้ได้
A: ให้เราเปลี่ยนทิฏฐิคือมุมมอง ให้มองไปในทางที่จะทำให้เกิดประโยชน์ เกิดธรรมะ พอเราเปลี่ยนมุมมอง เราจะพัฒนาไปต่อได้
Q: กายคตาสติคือการน้อมไปคิดเหมือนจินตนาการใช่หรือเปล่า?
A: เราจะมีสติอยู่กับอะไรก็ตาม ต้องมีอยู่ 2 ส่วน คือ สติและเรื่องที่เราจะไปมีสตินั้น ในที่นี้เราคิดไปในกายคตาสติ คือการเห็นกายเป็นของไม่สวยงาม เป็นของปฏิกูล แนวทางการคิดที่ท่านสอนไว้ คือการคิดแบบโยนิโสมนสิการ คือการคิดด้วยจิตที่เป็นสมาธิเป็นอารมณ์อันเดียว แต่ถ้าจิตไม่เป็นอารมณ์อันเดียว ความคิดนั้นคือฟุ้งซ่าน
Q: ใช้บทสวดมนต์แทนการนึกภาพ ในการสร้างวิตกวิจารหรือสัมมาสังกัปปะได้หรือไม่?
A: ได้ การที่เราใช้บทสวดมนต์เป็นที่ระลึกถึงนั้นเป็นธัมมานุสติ จะทำให้เรามีความดำริ ที่เป็น “สัมมาสังกัปปะ” การที่เราระลึกถึงบทสวดมนต์ เป็นการระลึกชอบ เป็นสัมมาสติ มีความเพียรเป็นกำลังที่เรามาใส่ในความระลึกถึงก็เป็นสัมมาวายามะ เพราะฉะนั้นเราจะใช้เครื่องมืออะไรก็ได้ ตามที่ท่านได้ให้แนวทางไว้ เพื่อที่จะให้จิตเรามีที่ตั้ง
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: อะไรเป็นผู้ที่คิดนึกปรุงแต่ง ?
A: ไม่มีอะไรเข้าไปปรุง จิตเป็นกระแสต่อเนื่องกันมา ๆ มีสภาวะเป็นภาพลวงตา การที่เราเข้าใจว่าจิตเข้าไปปรุงแต่งนั้น เราเข้าใจผิด เพราะเราไม่รู้ว่าถูกคืออะไร ซึ่งความเข้าใจผิดนั้นความไม่รู้นั้น คืออวิชชา เราจะดับอวิชชาได้ เราต้องเห็นความไม่เที่ยง เห็นกฎของไตรลักษณ์ เข้าใจว่าสังขารการปรุงแต่งทั้งหมดคืออวิชชา พอเราเห็นความไม่เที่ยง ละอวิชชาได้ รู้ว่าสิ่งนี้ไม่ควรยึดถือแล้ว เราก็วางละความยึดถือในสิ่งนั้น เราก็จะพ้นทุกข์ได้
Q: ทำไมจึงอยากพ้นทุกข์ ทั้งที่ก็ยังทำกิจที่เป็นทุกข์อยู่?
A: กิจที่ควรทำกับทุกข์ คือทำความเข้าใจในทุกข์และยอมรับมัน ไม่ใช่ว่าหนีจากมัน หนีจากทุกข์ แต่สิ่งที่ไม่ดีที่เราต้องหนีต้องละ นั่นคือตัณหา พอเราละตัณหา เข้าใจทุกข์ยอมรับทุกข์ ทุกข์ก็จะไม่มาเป็นทุกข์ เรียกว่า “พ้น” จากกัน
Q: ข้าวหมากถวายพระได้ไหม?
A: ถวายได้และรับได้ ส่วนการฉัน ท่านได้บัญญัติไว้ว่า “ห้ามดื่มสุรา” แต่ก็มีข้อยกเว้น ในกรณีที่พระท่านอาพาธ ท่านให้ฉันได้ โดยให้พิจารณาว่าฉันเป็นยา เจตนาคือฉันเพื่อระงับเวทนา
Q: ทำดีจะสามารถลบล้างความชั่วได้หรือไม่?
A: ถ้าทำกรรมดีในลักษณะที่เป็นมรรค 8 มรรค 8 จะเป็นเครื่องมือที่ทำให้สิ้นกรรม เข้าสู่นิพพานได้ ทั้งนี้จะต้องไม่เคยทำอนันตริยกรรมมาก่อน เพราะหากเคยทำจะต้องได้รับผลของกรรมนั้นก่อนจึงจะค่อยเหนือความชั่วอื่น ๆ ได้
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: ทำบุญ/แผ่เมตตาอย่างไรคนตายจึงจะได้รับและเมื่อตายจะได้เจอกันหรือไม่?
A: ท่านได้กล่าวไว้ว่า “เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นธรรมดา” เราจึงต้องพิจารณาไว้ก่อนแล้ว แม้เขาจะตายจากเราไป แต่ความดีเขายังอยู่ เมื่อการร้องไห้คร่ำครวญไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น เราจึงควรหาทางอื่นที่เป็นทางออก เราควรทำความดีทั้งทาน ศีล ภาวนา พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง เข้าใจตามความเป็นจริง เราก็จะพ้นจากทุกข์ได้
Q: ปัจจัยสี่ประการที่จะทำให้ได้เจอกัน
A: ท่านได้ตรัสไว้ถึงเหตุปัจจัย 4 ประการ คือ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ต้องเสมอกัน ถ้าไม่เสมอกันจะไม่เจอกัน คือสิ่งที่จะทำให้เกิดบุญและให้ไปอยู่คนละที่ นั่นเอง
Q: พระโพธิสัตว์จากนิทานธรรมบทมีในดินแดนอื่นนอกเหนือชมพูทวีปหรือไม่?
A: ในหลักฐานตามตำราคัมภีร์ไม่ได้กล่าวถึงบริเวณอื่นนอกจากชมพูทวิป
Q: เราใส่เหรียญลงในบาตรประจำวันเกิดกันทำไม?
A: เป็นวัฒนธรรมของคนไทยที่หล่อหลอมรวมกันกับพุทธศาสนา ที่เพิ่งมีในสมัยนี้ ที่ได้ทำบุญด้วยการให้ทาน
Q: ธรรมะข้อใดสำหรับคนที่กำลังตกงาน?
A: สังคหวัตถุ 4 ประกอบด้วย 1) ทาน คือการให้ทั้งสิ่งของและความรู้ คำแนะนำ 2) ปิยวาจา คือไม่นินทา พูดจาไพเราะ 3) อัตถจริยา คือประพฤติประโยชน์คือขวนขวายช่วยเหลือ และ 4) สมานัตตตา คือเสมอต้นเสมอปลาย วางตนให้เหมาะสมกับฐานะ
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.