Home
Categories
EXPLORE
Society & Culture
Leisure
True Crime
Business
Comedy
History
Health & Fitness
About Us
Contact Us
Copyright
© 2024 PodJoint
00:00 / 00:00
Sign in

or

Don't have an account?
Sign up
Forgot password
https://is1-ssl.mzstatic.com/image/thumb/Podcasts126/v4/41/96/5f/41965f84-6659-e539-d121-1029f5176959/mza_7086462220915896900.jpg/600x600bb.jpg
6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
ปัญญา ภาวนา ฟังธรรมะ ปัญญาภาวนา Panya Bhavana
356 episodes
3 days ago
ในพระไตรปิฏกมีอะไร ทำความเข้าใจไปทีละข้อ, เปิดไปทีละหน้า, ให้จบไปทีละเล่ม, พบกับพระอาจารย์พระมหาไพบูลย์ อภิปุณโณ และ คุณเตือนใจ สินธุวณิก, ล้อมวงกันมาฟัง มั่วสุมกันมาศึกษา จะพบขุมทรัพย์ทางปัญญา ในช่วง "ขุดเพชรในพระไตรปิฏก". New Episode ทุกวันเสาร์ เวลา 05:00, Podcast นี้เป็นส่วนหนึ่งของรายการธรรมะรับอรุณ ออกอากาศทุกวันทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) มีคำถาม/ข้อเสนอแนะ หรือสมัครติดตามฟังทั้ง 7 รายการ ที่ panya.org

Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

Show more...
Buddhism
Religion & Spirituality
RSS
All content for 6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก is the property of ปัญญา ภาวนา ฟังธรรมะ ปัญญาภาวนา Panya Bhavana and is served directly from their servers with no modification, redirects, or rehosting. The podcast is not affiliated with or endorsed by Podjoint in any way.
ในพระไตรปิฏกมีอะไร ทำความเข้าใจไปทีละข้อ, เปิดไปทีละหน้า, ให้จบไปทีละเล่ม, พบกับพระอาจารย์พระมหาไพบูลย์ อภิปุณโณ และ คุณเตือนใจ สินธุวณิก, ล้อมวงกันมาฟัง มั่วสุมกันมาศึกษา จะพบขุมทรัพย์ทางปัญญา ในช่วง "ขุดเพชรในพระไตรปิฏก". New Episode ทุกวันเสาร์ เวลา 05:00, Podcast นี้เป็นส่วนหนึ่งของรายการธรรมะรับอรุณ ออกอากาศทุกวันทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) มีคำถาม/ข้อเสนอแนะ หรือสมัครติดตามฟังทั้ง 7 รายการ ที่ panya.org

Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

Show more...
Buddhism
Religion & Spirituality
Episodes (20/356)
6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
ธรรมแห่งการตรัสรู้ชอบ [6846-6t]

หมวดธรรม 9 ประการ เริ่มพระสูตรแรกใน สัมโพธิวรรค หมวดว่าด้วยสัมโพธิ


ข้อที่ 1 สัมโพธิสูตร ว่าด้วยสัมโพธิ (การตรัสรู้ชอบ) กล่าวถึง เหตุที่ทำให้ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งการตรัสรู้เจริญขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า หากปริพาชก (นักบวชนอกศาสนา) ถามว่า อะไรเป็นเหตุให้ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งธรรมเครื่องตรัสรู้เจริญ ? ภิกษุทั้งหลายพึงตอบว่า เหตุนั้นคือ

1. การมีมิตรดี

2. การเป็นผู้มีศีล

3. การได้ตามความปรารถนาซึ่งกถา (ธรรม) อันเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส เป็นที่สบายในการเปิดจิต ได้แก่ อัปปิจฉกถา (ความมักน้อย) สันตุฏฐิกถา (ความสันโดษ) ปวิเวกกถา (ความสงัด) อสังสัคคกถา (ความไม่คลุกคลี) วิริยารัมภกถา (การปรารภความเพียร) สีลกถา(ศีล) สมาธิกถา(สมาธิ) ปัญญากถา(ปัญญา) วิมุตติกถา(วิมุตติ) วิมุตติญาณทัสสนกถา(ความรู้ความเห็นในวิมุตติ)

4. การปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม มีความมั่นคง ไม่ท้อถอย

5. การเป็นผู้มีปัญญา คือ ประกอบด้วยปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาเห็นความเกิดและความดับ (เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) อันเป็นอริยะ ชำแรกกิเลสให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ


เมื่อภิกษุตั้งอยู่ในธรรม 5 ประการนี้แล้ว พึงเจริญธรรม 4 ประการให้ยิ่งขึ้นไปอีก ได้แก่

1. เจริญอสุภะ (ความไม่งามของกาย) เพื่อละราคะ

2. เจริญเมตตา เพื่อละความพยาบาท

3. เจริญอานาปานสติ (สติกำหนดลมหายใจเข้าออก) เพื่อตัดวิตก (ความคิดฟุ้งซ่าน)

4. เจริญอนิจจสัญญา (ความหมายรู้ในความไม่เที่ยง) เพื่อถอนอัสมิมานะ (ความถือตัวว่าเป็นเรา)

*ผู้ที่เจริญอนิจจสัญญาได้แล้ว อนัตตสัญญาก็จะปรากฏ (เห็นว่าไม่ใช่ตัวตน) และจะบรรลุนิพพานในปัจจุบัน


ข้อที่ 2 นิสสยสูตร ว่าด้วยนิสสัย กล่าวถึง ลักษณะของภิกษุที่เรียกว่า "ผู้ถึงพร้อมด้วยนิสสัย" (ที่พึ่งอาศัย) โดยมีใจความสำคัญดังนี้

• ภิกษุจะชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยที่อาศัยได้ เมื่อเธออาศัยธรรม 5 ประการต่อไปนี้ แล้วสามารถละอกุศลธรรม (ความชั่ว) และเจริญกุศลธรรม (ความดี) ได้

1. อาศัยศรัทธา (พระรัตนตรัย)

2. อาศัยหิริ (ความละอายแก่ใจ)

3. อาศัยโอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อบาป)

4. อาศัยวิริยะ (ความเพียร)

5. อาศัยปัญญา (ปัญญาอันเป็นอริยะ)


• ภิกษุนั้นเมื่อดำรงอยู่ในธรรม 5 ประการนี้แล้ว ควรอาศัยธรรมอีก 4 ประการในการปฏิบัติ

1. พิจารณาแล้วเสพ: พิจารณาไตร่ตรองก่อนที่จะบริโภคหรือใช้สอยปัจจัย 4

2. พิจารณาแล้วอดกลั้น: อดทนต่อสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา เช่น ความหนาว ความร้อน

3. พิจารณาแล้วเว้น: เว้นจากสิ่งที่เป็นโทษหรืออกุศล

4. พิจารณาแล้วบรรเทา: กำจัดหรือบรรเทาอกุศลวิตกหรือบาปธรรมที่เกิดขึ้นในใจ

*เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีที่พึ่งทางใจและแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง (พึ่งตน พึ่งธรรม) โดยการอาศัยหลักธรรมสำคัญ เช่น ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ และปัญญา เป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิตและปฏิบัติธรรม เพื่อขจัดกิเลสและบรรลุความดีงามในที่สุด


ข้อที่ 3 เมฆิยสูตร ว่าด้วยพระเมฆิยะ กล่าวถึง พระเมฆิยะ และธรรมสำหรับแก้อกุศลวิตก 3 ประการ (กามวิตก พยาบาทวิตก และวิหิงสาวิตก) โดยพระเมฆิยะได้เข้าไปกราบทูลพระพุทธเจ้าเมื่อถูกอกุศลวิตกครอบงำ และพระพุทธเจ้าก็ได้แสดงธรรม 5 ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุตติ (ความหลุดพ้นแห่งจิต) ได้แก่

1. มีมิตรดี

2. มีศีล

3. ได้ตามความปรารถนาซึ่งกถา

4. มีความเพียรเพื่อละอกุศลและเจริญกุศล

5. มีปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาเห็นความเกิดและความดับ


เมื่อภิกษุตั้งอยู่ในธรรม 5 ประการนี้แล้ว ก็พึงเจริญธรรมอีก 4 ประการเพิ่มเติมให้ยิ่งขึ้นไป คือ

1. เจริญอสุภสัญญา เพื่อละราคะ

2. เจริญเมตตา เพื่อละพยาบาท

3. เจริญอานาปานสติ เพื่อตัดอกุศลวิตก

4. เจริญอนิจจสัญญา เพื่อเพิกถอนอัสมิมานะ

*เน้นความสำคัญของการมีกัลยาณมิตร การตั้งมั่นในศีล ความเพียร และการใช้ปัญญาพิจารณาธรรม โดยเฉพาะการเจริญสติและกรรมฐานเพื่อกำจัดอกุศลวิตกและกิเลส


พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย นวกนิบาต สัมโพธิวรรค


Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

Show more...
3 days ago
53 minutes 53 seconds

6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
บุรุษอาชาไนย [6845-6t]

หมวดข้อธรรม 4 ประการ ใน วลาหกวรรค หมวดว่าด้วยบุคคลเปรียบเหมือนเมฆ


ข้อที่ 107 มูสิกสูตร ว่าด้วยบุคคลเปรียบเหมือนหนู เปรียบบุคคลไว้กับหนู 4 จำพวก ได้แก่

  1. หนูขุดรูแต่ไม่อยู่ - ได้ศึกษาปริยัติแต่ไม่รู้แจ้งอริยสัจสี่
  2. หนูอยู่แต่ไม่ขุดรู - รู้แจ้งอริยสัจสี่แต่ไม่ได้ศึกษาปริยัติ
  3. หนูไม่ขุดรูและไม่อยู่ - ไม่ได้ศึกษาปริยัติและไม่รู้แจ้งอริยสัจสี่
  4. หนูขุดรูและอยู่ - ได้ศึกษาปริยัติและรู้แจ้งอริยสัจสี่


โดยเปรียบการ “ขุดรู” ของหนู คือการศึกษาเล่าเรียนปริยัติ และ เปรียบการ “อยู่” ของหนู คือการรู้แจ้งในอริยสัจ 4 * ความสำคัญจึงอยู่ที่การปฏิบัติ หากไม่ได้นำมาปฏิบัติก็จะไม่เกิดผล

 

ข้อที่ 108 พลิวัททสูตร ว่าด้วยบุคคลเปรียบเหมือนโคผู้ เปรียบบุคคลไว้กับโคที่ชอบข่มเหง หรือไม่ข่มเหงต่อฝูงของตน หรือฝูงตัวอื่น คือ การทำให้กลุ่มชนหวาดกลัว หรือไม่หวาดกลัวนั่นเอง

 

ข้อที่ 109 รุกขสูตร ว่าด้วยบุคคลเปรียบเหมือนต้นไม้ เปรียบบุคคลไว้กับต้นไม้เนื้ออ่อนและต้นไม้เนื้อแข็ง ซึ่ง “ไม้เนื้อแข็ง” เป็นไม้มีแก่นเปรียบไว้กับคนมีศีล และ “ไม้เนื้ออ่อน” เป็นไม้ไม่มีแก่นเปรียบกับคนไม่มีศีล เราเป็นคนประเภทไหนและแวดล้อมด้วยคนชนิดใด

 

ข้อที่ 110 อาสีวิสสูตร ว่าด้วยบุคคลเปรียบเหมือนอสรพิษ เปรียบบุคคลเหมือนอสรพิษ เอาประเภทของพิษมาเป็นตัวแบ่ง “พิษแล่น” คือ ซึมซาบได้เร็วหรือช้า เปรียบดั่งความโกรธง่ายหรือยาก และ “พิษร้าย” คือ พิษร้ายมากน้อย เปรียบดั่งความคงอยู่ของความโกรธว่าหายเร็วหรือช้า

 

ขึ้นวรรคใหม่ เกสิวรรค หมวดว่าด้วยเกสีสารถีผู้ฝึกม้า


ข้อที่ 111 เกสิสูตร ว่าด้วยเกสีสารถีผู้ฝึกม้า เปรียบเทียบขั้นตอนของการฝึกม้าจากนายเกสิกับการฝึกสาวกของพระพุทธเจ้ามีขั้นตอนเหมือนกัน ที่น่าสนใจ คือ ม้าหรือบุคคลที่ฝึกไม่ได้มีการฆ่าที่แตกต่างกัน “การฆ่าในธรรมวินัยนี้ คือ การไม่บอกสอนหรือเห็นว่าบุคคลนี้ไม่สามารถบอกสอนได้อีกต่อไป ไม่ใช่การหมายเอาชีวิต” เพราะการฝึกนี้ไม่ใช้ทั้งอาชญาและศาสตรา ให้ย้อนกลับมาดูว่าเราพัฒนาแก้ปัญหาในกลุ่มคนอย่างไร ใช้ธรรมะล้วน ๆ หรือไม่ และการฆ่าไม่ใช่ไม่บอกสอนตลอดไปแค่พักรอจังหวะ เพราะคนเราเปลี่ยนแปลงได้ เช่น พระเทวฑัตและพระฉันนะ ให้มีเมตตากรุณาอย่าอุเบกขาอย่างเดียว

 

ข้อที่ 112 ชวสูตร ว่าด้วยความว่องไวของม้าต้นและของภิกษุ คุณสมบัติของม้ากับของภิกษุที่คู่ควร ซื่อตรง คือ ศรัทธา ว่องไว คือ รู้อริยสัจชั้นโสดาบัน อดทนต่อทุกขเวทนา สงบเสงี่ยม คือ มีฌาน 4

 

ข้อที่ 113 ปโตทสูตร ว่าด้วยปฏักของสารถี ม้าดีแต่มีความต่างกันต่อปฏักอยู่ 4 ระดับ คือ เห็นเงา แทงขน แทงผิว แทงกระดูก เปรียบดั่งการได้ยินได้รู้หรือได้เห็นการตายของบุคคลในระดับต่าง ๆ จนมาถึงความเจ็บป่วยของตนเองแล้วจึงค่อยเร่งปฏิบัติ

 

ข้อที่ 114 นาคสูตร ว่าด้วยองค์ของช้างต้น คุณสมบัติช้างที่ดีในหนึ่งตัวมีครบสี่ กับบุคคลที่ถ้ามีครบก็เป็นอริยบุคคล

  1. รู้ฟัง: ใครกล่าวธรรมเงี่ยโสตฟัง
  2. รู้ประหาร: รู้จักละอกุศล
  3. รู้อดทน: อดทนต่อทุกขเวทนา
  4.  รู้ไป: ไปนิพพาน ทิศที่ไม่เคยไปตลอดกาลอันยาวนาน

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต วลาหกวรรค เกสิวรรค


Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

Show more...
1 week ago
56 minutes 32 seconds

6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
การประพฤติชอบ [6844-6t]

หมวดข้อธรรม 8 ประการ พระสูตรที่ 10 ใน สติวรรค หมวดว่าด้วยสติสัมปชัญญะ


ข้อที่ 90 สัมมาวัตตนสูตร ว่าด้วยการประพฤติชอบ ว่าด้วยเรื่อง "วัตรปฏิบัติ" หรือข้อปฏิบัติที่ภิกษุที่ถูกสงฆ์ลงโทษ (ตัสสปาปิยสิกากรรม) จะต้องประพฤติชอบในธรรม 8 ประการนี้

  1. ไม่พึงให้อุปสมบท: งดเว้นจากการเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ผู้อื่น
  2. ไม่พึงให้นิสสัย: งดเว้นจากการรับภิกษุอื่นไว้ในความดูแล (เป็นอาจารย์)
  3. ไม่พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก: งดเว้นจากการให้สามเณรมาปรนนิบัติรับใช้
  4. ไม่พึงรับสมมติเป็นผู้สั่งสอนภิกษุณี: ไม่รับตำแหน่งผู้สอนภิกษุณี
  5. แม้ได้รับสมมติแล้วก็ไม่พึงสั่งสอนภิกษุณี: หากเคยได้รับสมมติแล้ว ก็ต้องงดการสอนภิกษุณี
  6. ไม่พึงรับสมมติอะไรๆ จากสงฆ์: ไม่ยอมรับตำแหน่งหรือภารกิจใดๆ ที่สงฆ์มอบหมาย ไม่รับตำแหน่งทางสงฆ์อื่นใดอีก
  7. ไม่พึงดำรงอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าอะไรๆ: ไม่แสวงหาหรือรับตำแหน่งผู้นำ
  8. ไม่พึงให้ประพฤติวุฏฐานพิธี (พิธีออกจากกรรม) เพราะตำแหน่งเดิมนั้น: ไม่ใช้สิทธิจากตำแหน่งเดิมเพื่อทำพิธีการทางสงฆ์ (เช่น การสวดถอนอาบัติสังฆาทิเสส)

 

พระสูตรที่ 1-26 (ข้อที่ 91-116) ใน สามัญญวรรค หมวดว่าด้วยธรรมที่เหมือนกัน ใน 26 พระสูตรนี้มีข้อธรรม 8 ประการที่เหมือนกัน คือ ศีล 8 แตกต่างกันที่หัวข้อเป็นการปรารภถึงอุบาสิกา 26 ท่าน โดยใช้พระสูตรข้อที่ 43 วิสาขาสูตร ในการเทียบเคียง โดยปรารภถึง โพชฌาอุบาสิกา สิริมาอุบาสิกา ปทุมาอุบาสิกา สุธัมมา อุบาสิกา มนุชาอุบาสิกา อุตตราอุบาสิกา มุตตาอุบาสิกา เขมาอุบาสิกา รุจีอุบาสิกา จุนทีราชกุมารี พิมพีอุบาสิกา สุมนาราชกุมารี มัลลิกาเทวี ติสสาอุบาสิกา ติสสมาตาอุบาสิกา โสณาอุบาสิกา โสณมาตาอุบาสิกา กาณาอุบาสิกา กาณมาตาอุบาสิกา อุตตรานันทมาตาอุบาสิกา วิสาขามิคาร-มาตาอุบาสิกา ขุชชุตตราอุบาสิกา สามาวดีอุบาสิกา สุปวาสาโกฬิยธิดา สุปปิยาอุบาสิกา นกุลมาตาคหปตานี 

 

ข้อที่ 117-626 ใน ราคเปยยาล (เบ็ดเตล็ด)

  • โดยการนำเอาหัวข้อหลักธรรมเหล่านี้ ได้แก่ ราคะ ... โทสะ ... โมหะ ... โกธะ (ความโกรธ) ... อุปนาหะ (ความผูกโกรธ) ... มักขะ (ความลบหลู่คุณท่าน) ... ปลาสะ (ความตีเสมอ) ...อิสสา (ความริษยา) ... มัจฉริยะ (ความตระหนี่) ... มายา (มารยา) ... สาเถยยะ (ความโอ้อวด) ... ถัมภะ (ความหัวดื้อ) ... สารัมภะ (ความแข่งดี) ... มานะ (ความถือตัว)... อติมานะ (ความดูหมิ่นเขา) ... มทะ (ความมัวเมา) ... ปมาทะ (ความประมาท)
  •  มาแยกย่อยโดยมีรูปแบบที่เหมือนกัน คือ เพื่อรู้ยิ่งราคะ ... เพื่อกำหนดรู้... เพื่อความสิ้น ... เพื่อละ ... เพื่อความสิ้นไปแห่ง ... เพื่อความเสื่อมไปแห่ง ... เพื่อความคลายไปแห่ง ... เพื่อความดับไปแห่ง ... เพื่อความสละ ... เพื่อความสละคืนราคะ โทสะ โมหะ...ฯลฯ
  • ในแต่ละข้อย่อยก็จะมีรายละเอียดย่อยอีก 3 นัยยะ คือ มรรคแปด ฌาน และ สมาธิในขั้นต่างๆ

 

 พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต สติวรรค สามัญญวรรค ราคเปยยาล


Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

Show more...
2 weeks ago
50 minutes 12 seconds

6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
บุคคลผู้รู้อริยสัจสี่ [6843-6t]

หมวดข้อธรรม 4 ประการ ใน อสุรวรรค หมวดว่าด้วยบุคคลเหมือนอสูรและเทวดา และ วลาหกวรรค หมวดว่าด้วยบุคคลเปรียบเหมือนเมฆ


ฉวาลาตสูตร ราควินยสูตร ขิปปนิสันติสูตร อัตตหิตสูตร และสิกขาปทสูตร มีหัวข้อเหมือนกัน แต่ต่างกันใน 5 นัยยะ เหมือนกันตรงที่แบ่งบุคคลตามการปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ เพื่อตนเองหรือเพื่อผู้อื่นมาจับคู่กัน ความประณีตไล่ไปตามลำดับ

  • นัยยะที่ 1 ฉวาลาตสูตรเปรียบบุคคลที่ไม่ปฏิบัติเพื่อใครเลย เป็นเหมือนไม้ที่ตรงกลางเปื้อนอุจจาระ ปลายทั้งสองข้างลุกเป็นไฟหาค่าไม่ได้ ในขณะที่บุคคลที่ปฏิบัติเพื่อตนเองและผู้อื่น ดุจดั่งรสที่ได้จากวัวนม จนได้ยอดเนยใสในที่สุด
  • นัยยะที่ 2 ราควินยสูตรมีตัวแปร คือ ราคะ โทสะ โมหะ จะเห็นว่าแม้คนที่มือถือสากปากถือศีล ก็ยังนับว่าเป็นคนดี เพราะอย่างน้อยก็พูดดี แม้จะทำเองยังไม่ได้ก็ตาม เขาสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้
  • นัยยะที่ 3 ขิปปนิสันติสูตร แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ตรัสรู้นี้เพื่อตัวเอง และบอกสอนนี้เพื่อผู้อื่น เป็นการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
  • นัยยะที่ 4 อัตตหิตสูตรมีแต่หัวข้อ
  • นัยยะที่ 5 สิกขาปทสูตรเอาศีล 5 มาเป็นตัวแปร ซึ่งจะเป็นคนละมุมกับราควินยสูตร


โปตลิยสูตร บุคคลที่ติเตียน หรือสรรเสริญตามกาลอันควรจึงจะประเสริฐสุด ไม่ใช่บุคคลที่อุเบกขาไปซะหมด จบอสุรวรรค

 

เริ่มวลาหกวรรค ปฐมวลาหกสูตร เปรียบ เฆมที่คำราม (ฟ้าร้อง) คือ การพูด และ ฝนตก คือ ลงมือทำ ทุติยวลาหกสูตร เปรียบเทียบ เฆมที่คำราม (ฟ้าร้อง) คือ คนที่เรียนธรรม (นวังคสัตถุศาสน์) และ ฝนตก คือ รู้ชัดในอริยสัจ 4


กุมภสูตร อุทกรหทสูตร และอัมพสูตร มีหัวข้อต่างกันแต่ไส้ในเหมือนกัน เป็นการรู้อริยสัจ 4 ภายในกับลักษณะภายนอกที่เห็น อาจเป็นดุจหม้อเปล่าหรือเต็ม และเปิดหรือปิดฝา หรือดุจความตื้นลึกของห้วงน้ำเงาที่เห็นกับความจริง และการสุกหรือดิบของมะม่วง

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต อสุรวรรค วลาหกวรรค


Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

Show more...
3 weeks ago
57 minutes 42 seconds

6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
เหตุแห่งการคว่ำบาตร [6842-6t]

หมวดข้อธรรม 8 ประการ ใน สติวรรค หมวดว่าด้วยสติสัมปชัญญะ


ข้อที่ 86 ยสสูตร ว่าด้วยยศ ชาวบ้านอิจฉานังคละทราบข่าวการมาของพระพุทธเจ้า ต่างพากันส่งเสียงเพื่อมารอเข้าเฝ้าถวายข้าวของแด่พระพุทธเจ้า พระองค์ทรงทราบความนั้น จึงได้กล่าวแสดงธรรมกับท่านพระนาคิตะโดยปรารภเรื่อง “ยศ” ไว้ 2 ลักษณะ คือ การเสพสุขจากยศ ชื่อว่า สุขที่ไม่สะอาด (×) และ การไม่เสพติดยศ คือ สุขจากเนกขัมมะ (ü) โดยได้แสดงไว้ 8 ประการดังนี้

  1. ผู้ยังสัพยอกเล่นหัวกันอยู่ ×
  2. ฉันอาหารจนอิ่มท้อง แล้วหมั่นประกอบความสุขในการนอน ×
  3. ผู้อยู่ในเสนาสนะใกล้หมู่บ้าน ×
  4. ผู้อยู่ป่าเป็นวัตร นั่งโงกง่วงอยู่ในป่า ü
  5. ผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ไม่มีสมาธินั่งอยู่ในป่า ü
  6. ผู้อยู่ป่าเป็นวัตร มีสมาธินั่งอยู่ในป่า ü
  7. ผู้อยู่ในเสนาสนะใกล้หมู่บ้าน ได้ลาภปัจจัยสี่ ละทิ้งการหลีกเร้น ×
  8. ผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ได้ลาภปัจจัยสี่ ไม่ละทิ้งการหลีกเร้น ü

 

ข้อที่ 87 ปัตตนิกุชชนสูตร ว่าด้วยเหตุแห่งการคว่ำบาตรและหงายบาตร “การคล่ำบาตร” เป็นการลงโทษของภิกษุสงฆ์ที่กระทำต่ออุบาสกหรืออุบาสิกาโดยการประกาศไม่รับไทยธรรมจากอุบาสกหรืออุบาสิกานั้น และเหตุที่คว่ำบาตรมีดังนี้

  1. ขวนขวายเพื่อไม่ใช่ลาภของภิกษุ (ขัดลาภ)
  2. ขวนขวายเพื่อไม่ใช่ประโยชน์ของภิกษุ (ประโยชน์ในปัจจุบัน = ปัจจัยสี่ / ในเวลาต่อมา = การศึกษาพระธรรม / ประโยชน์อย่างยิ่ง = มรรค ผล นิพพาน)
  3. ขวนขวายเพื่อความอยู่ไม่ได้ของภิกษุ (ทำความเดือดร้อนต่อเสนาสนะและเพศบรรพชิต)
  4. ด่าบริภาษภิกษุ
  5. ยุยงภิกษุให้แตกกัน
  6. กล่าวติเตียนพระพุทธเจ้า
  7. กล่าวติเตียนพระธรรม
  8. กล่าวติเตียนพระสงฆ์

และในทางตรงข้าม “การหงายบาตร” กระทำต่ออุบาสกหรืออุบาสิกาที่ปฏิบัติธรรมตรงกันข้ามกับธรรมที่กล่าวมาแล้ว

 

ข้อที่ 88 อัปปสาทปเวทนียสูตร ว่าด้วยเหตุที่ควรประกาศว่าไม่ควรเลื่อมใส อุบาสกและอุบาสิกาจะประกาศความไม่เลื่อมใสต่อภิกษุด้วยเหตุที่ว่า

  1. ขวนขวายเพื่อไม่ใช่ลาภของคฤหัสถ์
  2. ขวนขวายเพื่อไม่ใช่ประโยชน์ของคฤหัสถ์
  3. ด่าบริภาษคฤหัสถ์
  4. ยุยงคฤหัสถ์ให้แตกกัน
  5. กล่าวติเตียนพระพุทธเจ้า
  6. กล่าวติเตียนพระธรรม
  7. กล่าวติเตียนพระสงฆ์
  8. อุบาสกและอุบาสิกาเห็นภิกษุนั้นในที่อโคจร

 

ข้อที่ 89 ปฏิสารณียสูตร ว่าด้วยเหตุที่ควรลงปฏิสารณียกรรม “ลงปฏิสารณียกรรม” คือ หมู่สงฆ์มีคำสั่งลงโทษภิกษุที่ประพฤติผิดให้ไปขอขมาคฤหัสถ์ที่ตนเองได้ด่าว่าไว้ ซึ่งมีข้อธรรมเหมือนใน อัปปสาทปเวทนียสูตร ต่างกันในประการที่ 8 คือ รับคำที่ชอบธรรมของคฤหัสถ์แต่ไม่ทำตาม

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต สติวรรค


Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

Show more...
1 month ago
57 minutes 6 seconds

6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
สมาธิสูตร [6841-6t]

หมวดข้อธรรม 4 ประการ ใน มจลวรรค หมวดว่าด้วยสมณะผู้ไม่หวั่นไหว และ อสุรวรรค หมวดว่าด้วยบุคคลเหมือนอสูรและเทวดา


ปุตตสูตร สังโยชนสูตร สัมมาทิฏฐิสูตร และขันธสูตร เป็นการแบ่งบุคคล 4 จำพวก ที่ปรากฏอยู่ในโลก ได้แก่

  1. บุคคลเป็นสมณะผู้ไม่หวั่นไหว
  2. บุคคลเป็นสมณะเหมือนดอกปุณฑริก
  3. บุคคลเป็นสมณะเหมือนดอกปทุม
  4. บุคคลเป็นสมณะผู้ละเอียดอ่อนในหมู่สมณะ


โดยทั้ง 4 พระสูตรนี้ มีข้อธรรมที่กล่าวไว้ในข้างต้นเหมือนกัน แต่มีนัยยะต่างกันไปตามชื่อหัวข้อพระสูตร ในสังโยชนสูตรแบ่งตามสังโยชน์ที่ละได้ไล่ไปตามอริยบุคคลแต่ละขั้น ส่วนในสัมมาทิฏฐิสูตรมีมรรคแปดประกอบรวมอยู่ด้วย และขันธสูตรเป็นนัยยะแห่งขันธ์ห้า จบมจลวรรค

 

เริ่มอสุรวรรค อสุรสูตร เป็นการจับคู่ระหว่างเจ้านายและลูกน้องที่มีความเป็นอสูรหรือเทวดา ที่น่าสนใจ คือไม่ว่าเราเป็นอะไร เราสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ ในปฐม/ทุติย และตติยสมาธิสูตร คือการมีหรือไม่มีของสมถะและวิปัสสนา ซึ่งในสูตร 1-3 ของสมาธิสูตรมีข้อธรรมที่เหมือนกัน โดยเพิ่มนัยยะของความเพียรและการเข้าไปหาบุคคลเพื่อให้มีการพัฒนาเกิดขึ้น


*ประเด็นคือเอาที่ได้ก่อนแล้วค่อยพัฒนาเพิ่มเติมในส่วนที่ขาดโดยการเข้าไปหาผู้ที่มีในส่วนนั้น

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต มจลวรรค อสุรวรรค


Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

Show more...
1 month ago
55 minutes 43 seconds

6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
มูลเหตุแห่งธรรมทั้งปวง [6840-6t]

หมวดข้อธรรม 8 ประการ ใน สติวรรค หมวดว่าด้วยสติสัมปชัญญะ


ข้อที่ 81 สติสัมปชัญญสูตร ว่าด้วยผลแห่งสติสัมปชัญญะ กล่าวถึงธรรมที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย โดยมี “สติสัมปชัญญะ” เป็นตัวตั้งต้นแล้วมีผลของธรรมอย่างอื่นตามมา โดยแสดงแยกเป็น 2 ลักษณะที่ตรงกันข้ามกัน คือ “เมื่อไม่มีสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงไม่มี และ เมื่อมีสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงมี” โดยมีลำดับของธรรมดังนี้ 1. สติสัมปชัญญะ -> 2. หิริและโอตตัปปะ -> 3. อินทรียสังวร -> 4. ศีล -> 5. สัมมาสมาธิ -> 6. ยถาภูตญาณทัสสนะ -> 7. นิพพิทาและวิราคะ -> 8. วิมุตติญาณทัสสนะ


เมื่อเหตุคือไม่มีสติสัมปชัญญะ -> ผลจึงไม่มี หิริและโอตตัปปะ ... ฯลฯ “เปรียบได้กับต้นไม้ที่มีกิ่งและใบวิบัติแล้ว สะเก็ด เปลือก กระพี้ แก่น ของต้นไม้นั้น ย่อมไม่ถึงความบริบูรณ์”และในทางตรงข้าม เมื่อเหตุแห่งความบริบูรณ์มี ผลแห่งความบริบูรณ์ย่อมมี

 

ข้อที่ 82 ปุณณิยสูตร ว่าด้วยพระปุณณิยะ โดยปรารภท่านพระปุณณิยะที่ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคถึง “อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้พระธรรมเทศนาแจ่มแจ้งในบางคราว แต่ในบางคราวกลับไม่แจ่มแจ้ง” พระองค์ได้ทรงแสดงถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้พระธรรมเทศนาไม่แจ่มแจ้งไว้ดังนี้

1.      เป็นผู้มีศรัทธา แต่ไม่เข้าไปหา

2.      เป็นผู้มีศรัทธา และเข้าไปหา แต่ไม่เข้าไปนั่งใกล้

3.      เป็นผู้มีศรัทธา..ฯ และเข้าไปนั่งใกล้ แต่ไม่สอบถาม

4.      เป็นผู้มีศรัทธา...ฯและสอบถาม แต่ไม่เงี่ยโสตฟังธรรม

5.      เป็นผู้มีศรัทธา....ฯ และเงี่ยโสตฟังธรรม แต่ไม่ทรงจำธรรมไว้ได้

6.      เป็นผู้มีศรัทธา.....ฯ และทรงจำธรรมไว้ได้ แต่ไม่พิจารณาเนื้อความแห่งธรรม

7.      เป็นผู้มีศรัทธา......ฯ และพิจารณาเนื้อความแห่งธรรม แต่หาใช่รู้อรรถรู้ธรรม

8.      เป็นผู้มีศรัทธา.......ฯ และรู้อรรถรู้ธรรม แต่ไม่ปฏิบัติสมควรแก่ธรรม

 

และได้ทรงแสดงถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้พระธรรมเทศนาแจ่มแจ้งไว้ดังนี้ คือ (1.) เป็นผู้มีศรัทธา -> (2.) เข้าไปหา -> (3.) เข้าไปนั่งใกล้ -> (4.) สอบถาม -> (5.) เงี่ยโสตฟังธรรม -> (6.) ทรงจำธรรมไว้ -> (7.) พิจารณาเนื้อความแห่งธรรม -> (8.) รู้อรรถรู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม

 

ข้อที่ 83 มูลกสูตร ว่าด้วยมูลเหตุแห่งธรรมทั้งปวง กล่าวถึงต้นกำเนิดของธรรมทั้งปวงมีอะไรบ้าง

1. มีฉันทะ (ศรัทธา) เป็นมูล (รากพื้นฐาน) 2. มีมนสิการ (คิดตามแบบอริยสัจสี่) เป็นแดนเกิด 3. มีผัสสะเป็นเหตุเกิด 4. มีเวทนา (สัญญา->เวทนา) เป็นที่ประชุม (รวมลง)

5. มีสมาธิเป็นประมุข (หัวหน้า-สั่งการ)   6. มีสติเป็นใหญ่ (อธิบดี-มีอยู่ตลอด) 7. มีปัญญา (เห็นไตรลักษณ์) เป็นยิ่ง (ยอดสูงสุด) 8. มีวิมุตติเป็นแก่น

 

ข้อที่ 84 โจรสูตร ว่าด้วยเหตุเสื่อมของมหาโจร กล่าวถึงธรรม 8 ประการที่เป็นเหตุเสื่อมและไม่เสื่อมของโจร

  • เหตุเสื่อมของโจร คือ 1. ทำร้ายคนที่ไม่โต้ตอบ 2. ปล้นสิ่งของจนไม่เหลือ 3. ฆ่าผู้หญิง 4. ข่มขืนเด็กหญิง 5. ปล้นนักบวช 6. ปล้นท้องพระคลัง 7. ปล้นใกล้ถิ่นเกินไป 8. ไม่ฉลาดในการเก็บ
  • เหตุไม่เสื่อมของโจร – กล่าวตรงกันข้ามกับที่ได้กล่าวมา

 

ข้อที่ 85 สมณสูตร ว่าด้วยพระนามของพระพุทธเจ้า กล่าวถึงคำที่แสดงถึงพระนามของพระพุทธเจ้า ได้แก่ สมณะ (ผู้สงบ) พราหมณ์ (ลอยบาป) เวทคู (บรรลุความรู้) ภิสักกะ (หมอ) นิมมละ (สะอาด) วิมละ (ปราศจากมลทิน) ญาณี (ฉลาด) และวิมุตตะ

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต สติวรรค


Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

Show more...
1 month ago
58 minutes 43 seconds

6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
ความบริสุทธิ์แห่งทักษิณา [6839-6t]

หมวดข้อธรรม 4 ประการ ในอปัณณกวรรค หมวดว่าด้วยข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด และ มจลวรรค หมวดว่าด้วยสมณะผู้ไม่หวั่นไหว


ข้อที่#78_ทักขิณสูตร ว่าด้วยความบริสุทธิ์แห่งทักษิณา ผลของการให้ทานที่จะให้ผลมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ทั้งผู้ให้และผู้รับ บริสุทธิ์ทั้งสองฝ่ายจึงจะดี นอกนั้นจะมีความเศร้าหมอง

 

ข้อที่ #79_วณิชชสูตร ว่าด้วยเหตุให้การค้าขายขาดทุนหรือได้กำไร การค้าขายจะขาดทุนหรือได้กำไรมากน้อย ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามที่ได้ปวารณาไว้หรือไม่ แต่ทั้งนี้อย่ากลัว เพราะสามในสี่ข้อได้กำไร ดังนั้นแม้น้อยก็ควรทำ เป็นช่องบุญ

 

ข้อที่ #80_กัมโพชสูตร ว่าด้วยเหตุให้มาตุคามไปแคว้นกัมโพชะไม่ได้ คุณสมบัติของสตรีที่ไม่ควรเป็นใหญ่

 

ข้อที่ #81_ปาณาติปาตสูตร ว่าด้วยผู้ฆ่าสัตว์และผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ และ ข้อที่ #82_มุสาวาทสูตร ว่าด้วยผู้พูดเท็จและผู้เว้นขาดจากการพูดเท็จ เป็นเรื่องของศีล ที่จะแยกบุคคลไปสวรรค์หรือนรก

 

ข้อที่ #83_อวัณณารหสูตร ว่าด้วยผู้กล่าวสรรเสริญผู้ควรติเตียนและผู้กล่าวติเตียนผู้ควรติเตียน การกล่าวสรรเสริญ หรือติเตียน หรือการเลื่อมใสไม่เลื่อมใส ที่ไม่ถูกจะพาไปนรกได้

 

ข้อที่ #84_โกธครุสูตร ว่าด้วยผู้มักโกรธและผู้ไม่มักโกรธ ถ้าเราเห็นแก่ธรรมะ ความมักโกรธ มักลบหลู่ ความเห็นแก่ลาภ และสักการะย่อมไม่เกิดขึ้น

 

ข้อที่ #85_ตโมตมสูตร ว่าด้วยผู้มืดมาและมืดไป และ ข้อที่ #86_โอณโตณตสูตร ว่าด้วยผู้ต่ำมาและต่ำไป เกี่ยวกับการมา การไป มืดสว่าง สูงต่ำ “มาคือเกิดมา ไปคือตายไป” จะไปที่ไหนหรือเกิดมาอย่างไรอยู่ที่การสร้างเหตุ เพราะเกิดมาไม่สำคัญเท่าจะไปอย่างไร จะไปอย่างไรก็ยังไม่สำคัญเท่าตอนนี้คุณทำอะไร


พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต อปัณณกวรรค มจลวรรค


Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

Show more...
1 month ago
57 minutes 36 seconds

6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
เหตุแห่งความเกียจคร้าน [6838-6t]

หมวดข้อธรรม 8 ประการ พระสูตรที่ 9-10 ในยมกวรรค หมวดว่าด้วยธรรมคู่กัน


ข้อที่ #79_ปริหานสูตร ว่าด้วยธรรมเป็นเหตุให้พระเสขะเสื่อม ธรรม 8 ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุผู้เป็นเสขะ (คือ ผู้ยังต้องศึกษาด้วยการปฏิบัติอยู่ เป็นผู้ที่กำลังก้าวไปสู่การหลุดพ้น) ได้แก่

  1. เป็นผู้ชอบการงาน – หางานทำอยู่เรื่อย (งานที่ไม่ใช่กิจของการภาวนา)
  2. เป็นผู้ชอบการพูดคุย
  3. เป็นผู้ชอบการนอนหลับ
  4. เป็นผู้ชอบการคลุกคลีด้วยหมู่
  5. เป็นผู้ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย
  6. เป็นผู้ไม่รู้จักประมาณในการบริโภค
  7. เป็นผู้ชอบธรรมเป็นเครื่องข้อง – สิ่งที่ทำให้เกิดกิเลส ตัณหา ความยึดมั่น
  8. เป็นผู้ชอบปปัญจธรรม – ธรรมให้เนิ่นช้า (ทำให้การภาวนาล่าช้า) หมายถึงตัณหา มานะ และทิฏฐิ


และได้แสดงธรรมเพื่อความไม่เสื่อมแก่ภิกษุผู้เป็นเสขะด้วยเช่นกัน ซึ่งมีความหมายตรงกันข้ามกับที่ได้กล่าวมาข้างต้น

 

ข้อที่ #80_กุสีตารัมภวัตถุสูตร ว่าด้วยเหตุแห่งความเกียจคร้านและเหตุปรารภความเพียร โดยกล่าวถึงเหตุการณ์อย่างเดียวกันทำให้เกิดการปฏิบัติที่แตกต่างกันโดยแยกแสดงได้ดังนี้

เหตุ 8 ประการ >> กุสีตวัตถุ (เหตุแห่งความเกียจคร้าน) ≠ อารัมภวัตถุ (เหตุปรารภความเพียร)

  1. เมื่อจะต้องทำการงาน >> ก็นอนเสีย ไม่ปรารภความพียร≠ ปรารภความพียร เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ทำให้แจ้ง
  2. เมื่อเสร็จจากการงาน >> ก็นอนพัก ไม่ปรารภความเพียร ≠ ปรารภความพียร ฯลฯ
  3. เมื่อจะต้องเดินทาง >>ก็นอนก่อน ไม่ปรารภความเพียร ≠ ปรารภความพียร ฯลฯ
  4. เมื่อเดินทางแล้ว >> ก็นอนพัก ไม่ปรารภความเพียร ≠ ปรารภความพียร ฯลฯ
  5. เมื่อบิณฑบาตไม่ได้เพียงพอ >> ก็นอนพัก ไม่ปรารภความเพียร ≠ ปรารภความพียร ฯลฯ
  6. เมื่อบิณฑบาตได้เพียงพอ >> ก็นอนพัก ไม่ปรารภความเพียร ≠ ปรารภความพียร ฯลฯ
  7. เมื่อเจ็บป่วยเล็กน้อย >> ก็นอนก่อน ไม่ปรารภความเพียร ≠ ปรารภความพียร ฯลฯ
  8. เมื่อหายจากเจ็บป่วยไม่นาน >> ก็นอนก่อน ไม่ปรารภความเพียร ≠ ปรารภความพียร ฯลฯ

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ยมกวรรค


Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

Show more...
1 month ago
58 minutes 41 seconds

6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
ธรรมของสัตบุรุษ [6837-6t]

หมวดข้อธรรม 4 ประการ พระสูตรที่ 1-7 ในอปัณณกวรรค หมวดว่าด้วยข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด


ข้อที่ #71_ปธานสูตร ว่าด้วยความเพียรเป็นเหตุสิ้นอาสวะ คือ ข้อปฏิบัติที่เป็นเหตุให้ถึงความสิ้นอาสวะ มีอยู่ 4 ประการ ได้แก่ 1) มีศีล 2) เป็นพหูสูต 3) ปรารภความเพียร 4) มีปัญญา

 

ข้อที่ #72_สัมมาทิฏฐิสูตร ว่าด้วยสัมมาทิฏฐิเป็นเหตุสิ้นอาสวะ คือ ข้อปฏิบัติที่เป็นเหตุให้ถึงความสิ้นอาสวะ มีอยู่ 4 ประการ ได้แก่

  1. เนกขัมมวิตก (ความตรึกปลอดจากกาม)
  2. อพยาบาทวิตก (ความตรึกปลอดจากพยาบาท)
  3. อวิหิงสาวิตก (ความตรึกปลอดจากการเบียดเบียน)

4. สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ)

 

ข้อที่ #73_สัปปุริสสูตร ว่าด้วยธรรมของอสัตบุรุษและสัตบุรุษ เป็นธรรมของคนพาลและของบัณฑิตที่แสดงไว้ตรงข้ามกันมีอยู่ 4 ประการ ได้แก่

·      ธรรมของอสัตบุรุษ (คนพาล คนไม่ดี) ≠ ธรรมของสัตบุรุษ (บัณฑิต คนดี)

  1. แม้ไม่ถูกถามก็ชอบเปิดเผยข้อเสียของบุคคลอื่น หากถูกถามก็แจงเสียละเอียด ≠ ไม่ชอบเปิดเผยข้อเสียของบุคคลอื่น แม้ถูกถามก็ตอบแบบอ้อม ๆ ไม่ละเอียด
  2. แม้ถูกถามก็ไม่ยอมเปิดเผยข้อดีของบุคคลอื่น กล่าวอ้อม ๆ ไม่ละเอียด ≠ แม้ไม่ถูกถามก็ชอบเปิดเผยข้อดีของบุคคลอื่น หากถูกถามก็แจงอย่างละเอียด
  3. ไม่ยอมเปิดเผยข้อเสียของตน หากถูกถามก็ตอบแบบอ้อม ๆ ≠ แม้ไม่ถูกถามก็ยินดีเปิดเผยข้อเสียของตน แม้ถูกถามก็รีบตอบไม่อ้อมค้อม
  4. แม้ไม่ถูกถามก็ชอบเปิดเผยข้อดีของตนเอง หากถูกถามก็แจงอย่างละเอียด ≠ ไม่ชอบเปิดเผยข้อดีของตน หากถูกถามก็กล่าวแบบอ้อม ๆ

 

ข้อที่ #74_ปฐมอัคคสูตร ว่าด้วยธรรมอันเลิศ สูตรที่ 1 กล่างถึง ธรรมอันเลิศ 4 ประการ ได้แก่ 1) อริยศีล 2) อริยสมาธิ 3) อริยปัญญา 4) อริยวิมุตติ

 

ข้อที่ #75_ทุติยอัคคสูตร ว่าด้วยธรรมอันเลิศ สูตรที่ 2 ธรรมอันเลิศ 4 ประการได้แก่ รูป (รูปฌาน) เวทนา (เวทนาจากสมาธิ) สัญญา (อรูปฌาน) ที่พิจารณาแล้วบรรลุอรหัตตผล และภพ (ไม่แสวงหาภพ) คือ นิพพาน

 

ข้อที่ #76_กุสินารสูตร ว่าด้วยพุทธกิจในกรุงกุสินารา ในสมัยที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ในป่าสาลวัน กรุงกุสินารา พระองค์ทรงรับสั่งตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า “มีผู้ใดสงสัย เคลือบแคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และ มรรคหรือปฏิปทาหรือไม่ ถ้ามีจงถามเถิด” พระองค์ทรงตรัสถามถึงสามครั้งแต่ก็ไม่มีภิกษุรูปใดกราบทูลถาม จนกระทั่งท่านพระอานนท์กราบทูลว่า “เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่ไม่มีภิกษุรูปใดสงสัยเลย” แล้วพระองค์ทรงตรัสตอบกลับ ว่า “ในภิกษุ 500 รูปนี้ ภิกษุผู้มีคุณธรรมชั้นต่ำสุดเป็นโสดาบัน ไม่มีทางตกต่ำ มีความแน่นอนที่จะสำเร็จสัมโพธิ (คือ สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตตมรรค) ในวันข้างหน้า”

 

ข้อที่ #77_อจินเตยยสูตร ว่าด้วยอจินไตย อจินไตย (เรื่องไม่ควรคิด) 4 ประการนี้ บุคคลไม่ควรคิด ใครคิดพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ความเดือดร้อน ได้แก่

  1. พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
  2. ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน
  3. วิบากแห่งกรรม
  4. ความคิดเรื่องโลก เช่น ใครสร้างโลก (ภูเขา ต้นไม้ แม่น้ำ ลำธาร) ใครสร้างจักรวาล

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต อปัณณกวรรค


Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

Show more...
2 months ago
53 minutes 44 seconds

6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
สติในความอยาก [6836-6t]

หมวดข้อธรรม 8 ประการ พระสูตรที่ 5-8 ในยมกวรรค หมวดว่าด้วยธรรมคู่กัน


ข้อที่ #75_ปฐมสัมปทาสูตร และข้อที่ #76_ทุติยสัมปทาสูตร ว่าด้วยสัมปทา สูตรที่ 1 และ 2 ว่าด้วยเรื่อง สัมปทา (ความถึงพร้อม) 8 ประการ ได้แก่

  1. อุฏฐานสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยความหมั่น) เป็นผู้ขยันไม่เกียจคร้านในการทำงาน
  2. อารักขสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยการรักษา) ไม่ประมาท รักษาทรัพย์ที่หามาได้
  3. กัลยาณมิตตตา (ความเป็นผู้มีมิตรดี) คบหาศึกษาบุคคลที่เป็นกัลยาณมิตร คือบุคคลที่มีศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญา เพื่อให้เกิดกัลยาธรรม คือ ศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญา
  4. สมชีวิตา (ความเป็นอยู่เหมาะสม) รู้ทางเจริญและทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์แล้วเลี้ยงชีวิตแต่พอเหมาะ ไม่ให้ฟุ่มเฟือยนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ด้วยคิดว่า “รายจ่ายจะไม่ท่วมรายรับ และรายรับจะต้องท่วมรายจ่าย”
  5. สัทธาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา) เป็นผู้มีศรัทธา เชื่อปัญญาเครื่องตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  6. สีลสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศีล) ถึงพร้อมด้วยศีลห้า
  7. จาคสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยจาคะ) มีใจปราศจากความตระหนี่ ยินดีในการสละออก
  8. ปัญญาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยปัญญา) มีปัญญาเห็นทั้งความเกิดและความดับอันเป็นอริยะ ให้ถึงความสิ้นทุกข์


ธรรมทั้ง 8 ประการนี้ เป็นเหตุนำสุขมาให้ในโลกทั้ง2 คือ ประโยชน์เกื้อกูลในภพนี้ และสุขในภพหน้า โดยจะมีเนื้อธรรมเหมือนข้อที่ #54_ทีฆชาณุสูตร ซี่งแบ่งออกได้เป็น ประเภท คือ (1.) ประโยชน์เกื้อกูลในภพนี้ ได้แก่ ธรรมในข้างต้นตั้งแต่ข้อ 1-4 (2.) สุขในภพหน้า ได้แก่ข้อ 5-8

 

ข้อที่ #77_อิจฉาสูตร ว่าด้วยความอยากได้ลาภ “ท่านพระสารีบุตร” ได้กล่าวกับภิกษุทั้งหลายถึงบุคคล 8 จำพวก ที่แม้ว่ากายจะอยู่วิเวกแต่ถ้าปฏิบัติไม่ต่อเนื่อง (คือ ไม่เจริญวิปัสสนาอย่างต่อเนื่อง) ความอยากในลาภย่อมปรากฎ โดยแบ่งจำแนกได้ดังนี้

  • บุคคล 4 จำพวกแรก คือ ขาดสติสัมปชัญญะ จะหลงไปตามผลที่ปรากฎ ทำให้เคลื่อนจากสัทธรรม กล่าวคือ เมื่อมีความอยากในลาภเกิดขึ้นบุคคลพวกนี้จะตั้งความเพียรในการแสวงหาหรือไม่แสวงหาลาภก็ตาม หากไม่ได้ลาภก็จะตีอกชกตัวเสียใจ และในทางตรงกันข้ามถ้าได้ลาภก็จะดีใจหลงไหลมัวเมาในลาภนั้น
  • บุคคล 4 จำพวกหลัง คือ มีสติสัมปชัญญะ เมื่อมีความอยากในลาภแล้วจะตั้งความเพียรหรือไม่ตั้งความเพียรในการแสวงหาลาภนั้นไว้ก็ตาม ผลคือจะไม่หลงไหลดีใจหรือเสียใจไปตามผลที่ปรากฎ ทำให้ไม่เคลื่อนจากสัทธรรม

*เนื้อธรรมเหมือนข้อที่ #61_อิจฉาสูตร

 

ข้อที่ #78_อลังสูตร ว่าด้วยผู้สามารถทำประโยชน์ตนและผู้อื่น “ท่านพระสารีบุตร” กล่าวกับภิกษุทั้งหลาย ถึงบุคคล 8 ประเภท โดยการนำธรรม 6 ประการ มาแยกจำแนกลงในบุคคล 8 ประเภทได้ 3 กลุ่ม


ธรรม 6 ประการได้แก่

  1. ใคร่ครวญธรรมได้เร็ว
  2. ทรงจำธรรมได้
  3. พิจารณาเนื้อความแห่งธรรม
  4. ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
  5. มีวาจางาม เจรจาถ้อยคำไพเราะ
  6. ชี้แจงให้เห็นชัด ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญ ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริง

 

โดยนำธรรมข้างต้นมาแบ่งประเภทบุคคลได้ 3 กลุ่มดังนี้

  • เพียงพอสำหรับตนเองและผู้อื่น มี 2 ประเภท ได้แก่ บุคคลประกอบด้วยธรรมในข้อที่ 1-6 และข้อที่ 2-6
  • ไม่เพียงพอสำหรับตนเองแต่เพียงพอสำหรับผู้อื่น มี 3 ประเภท ได้แก่ บุคคลประกอบด้วยธรรมในข้อที่ 1, 2, 5, 6 / ข้อที่ 2, 5, 6 / ข้อที่ 5, 6
  • เพียงพอสำหรับตนเองแต่ไม่เพียงพอสำหรับผู้อื่น มี 3 ประเภท ได้แก่ บุคคลประกอบด้วยธรรมในข้อที่ 1-4 / ข้อที่ 2-4 / ข้อที่ 3-4

*เนื้อธรรมเหมือนข้อที่ #62_อลังสูตร

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ยมกวรรค


Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

Show more...
2 months ago
56 minutes 57 seconds

6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
แพ้ภัยกิเลส [6835-6t]

หมวดข้อธรรม 4 ประการ พระสูตรที่ 5-10 ในปัตตกัมมวรรค หมวดว่าด้วยกรรมอันสมควร


ข้อที่ #65_รูปสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้ถือรูปเป็นประมาณ คนเราจะเลือกเลื่อมใสใครมาจากเหตุ 4 อย่างนี้ คือ รูป เสียง ความเศร้าหมอง และธรรมะ แต่ไม่ควรจะตัดสินใจจากสิ่งที่เห็นภายนอกเพียงอย่างเดียว ดูให้รู้ถึงคุณธรรมภายในด้วย

 

ข้อที่ #66_สราคสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้มีราคะ บุคคลที่มีราคะ โทสะ โมหะ มานะ นับว่าไม่ดี เมื่อเป็นอริยบุคคลแม้ขั้นโสดาบันสิ่งเหล่านี้ก็จะเบาบางลง

 

ข้อที่ #67_อหิราชสูตร ว่าด้วยตระกูลพญางู เกี่ยวกับการแผ่เมตตาให้ 4 ตระกูลของพญางูเพื่อความอยู่เป็นสุข ได้แก่ ตระกูลของพญางูวิรูปักษ์ เอราปถะ ฉัพยาบุตร และ กัณหาโคตมกะ

 

ข้อที่ #68_เทวทัตตสูตร ว่าด้วยพระเทวทัต ชี้ให้เห็นถึงลาภสักการะที่เกิดขึ้นนั้น ฆ่าตัวพระเทวทัตเอง มาจากกิเลสในใจ ดุจการเกิดขึ้นของขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ ปลีกล้วยฆ่าต้นกล้วย ลูกม้าอาชาไนยฆ่าแม่ม้าอัสดร และดอกอ้อฆ่าต้นอ้อ ควรรักษาตนไม่ให้มีรอยแผลที่จะถูกตำหนิได้ และการเสพสุขโดยธรรมสามารถทำได้

 

ข้อที่ #69_ปธานสูตร ว่าด้วยปธาน (ความเพียร) ว่าด้วยความเพียร 4 ประการ

1.      สังวรปธาน (เพียรระวัง)      

2.      ปหานปธาน (เพียรละ)

3.      ภาวนาปธาน (เพียรเจริญ)

4.      อนุรักขนาปธาน (เพียรรักษา)

 

ข้อที่ #70_อธัมมิกสูตร ว่าด้วยพระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรมและผู้ตั้งอยู่ในธรรม ธรรม 4 ประการที่จะเกิดจากเหตุ 13 ประการของผู้ที่ตั้งอยู่ในธรรมและของผู้ที่ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ได้แก่ เป็นผู้มีอายุยืนหรือน้อย ผิวพรรณผ่องใสหรือทราม มีกำลังดีหรือไม่ดี และมีความเจ็บป่วยน้อยหรือมาก ซึ่งสัมพันธ์กับเหตุ 13 ประการในข้างต้น

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ปัตตกัมมวรรค


Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

Show more...
2 months ago
58 minutes 11 seconds

6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
ผู้บริบรูณ์มาโดยลำดับ [6834-6t]


หมวดข้อธรรม 8 ประการ พระสูตรที่ 1-4 ในยมกวรรค หมวดว่าด้วยธรรมคู่กัน


ข้อที่#71_ปฐมสัทธาสูตร ว่าด้วยศรัทธา สูตรที่ 1 ผู้ประกอบด้วยองค์ธรรม 8 ประการนี้ ผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้ก่อให้เกิดความเลื่อมใสได้รอบด้าน (กาย วาจาที่น่าเลื่อมใส) และเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง (บริบูรณ์ด้วยอาการของสมณะ ด้วยธรรมของสมณะ)

  1. มีศรัทธา
  2. มีศีล
  3. เป็นพหูสูต (ผู้ได้ฟังธรรมมามาก หรือศึกษาเล่าเรียนธรรมมามาก)
  4. เป็นธรรมกถึก (ผู้กล่าวสอนธรรม ผู้แสดงธรรม หรือนักเทศน์)
  5. เข้าไปสู่บริษัท (กลุ่มคน)
  6. แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท (แกล้วกล้า=ไม่กลัว=เพราะมั่นใจคุณสมบัติทางธรรมของตน)
  7. ได้ฌาน 4
  8.  ทำให้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันไม่มีอาสวะ (อรหัตผล)


*ข้อที่พึงพิจารณาในองค์ธรรมแต่ประการที่เมื่อเราหมั่นเพียรประกอบให้เต็มบริบูรณ์ขึ้นมาในแต่ละองค์ซึ่งไล่ไปตามลำดับจะมีผลคือ อรหัตผล ฉะนั้นเราสามารถนำองค์ธรรมทั้ง 8 ประการนี้มาพิจารณาลำดับการปฏิบัติของเราให้มีความเพียรบริบูรณ์ขึ้นมาได้

 

ข้อที่ #72_ทุติยสัทธาสูตร ว่าด้วยศรัทธา สูตรที่ 2 จะเหมือนกับ ปฐมสัทธาสูตร สูตรที่ ๑ ในข้างต้น แตกต่างกันตรงข้อที่ 7. ได้สัมผัสสันตวิโมกข์ซึ่งไม่มีรูป คือ เป็นสมาธิขั้นอรูปฌาน


ข้อที่ #73_ปฐมมรณัสสติสูตร ว่าด้วยการเจริญมรณัสสติสูตรที่ 1 พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามกับภิกษุทั้งหลายว่า มีการเจริญมรณัสสติอยู่หรือไม่อย่างไร โดยภิกษุแต่ละรูปได้กราบทูลว่าตนระลึกถึงมรณัสสติอยู่ว่า...

  1. เราพึงมีชีวิตอยู่ได้คืนหนึ่งและวันหนึ่ง เราพึงกระทำให้มากซึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้า
  2. เราพึงมีชีวิตอยู่ได้วันหนึ่ง... ฯลฯ
  3. เราพึงมีชีวิตอยู่ได้ครึ่งวัน... ฯลฯ
  4. เราพึงมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วขณะฉันบิณฑบาตมื้อหนึ่ง... ฯลฯ
  5. เราพึงมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วขณะฉันบิณฑบาตครึ่งหนึ่ง... ฯลฯ
  6. เราพึงมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วขณะเคี้ยวกินคำข้าว 4-5 คำ... ฯลฯ
  7. เราพึงมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วขณะเคี้ยวกินคำข้าว 1 คำ... ฯลฯ
  8. เราพึงมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วขณะหายใจเข้าหายใจออก... ฯลฯ


ภิกษุรูปที่ 1-6 นี้ ยังเป็นผู้ประมาทอยู่ คือ เจริญมรณัสสติอย่างเพลา (หย่อน) ส่วนภิกษุรูปที่ 7-8 นี้ เป็นผู้ไม่ประมาท เจริญมรณัสสติอย่างแรงกล้าเพื่อความสิ้นอาสวะทั้งหลาย


ข้อที่ #74_ทุติยมรณัสสติสูตร ว่าด้วยการเจริญมรณัสสติ สูตรที่ 2 ในช่วงเวลากลางวันสู่กลางคืน และ กลางคืนสู่กลางวัน พิจารณาถึงเหตุแห่งความตายมีมาก เช่น งูพิษ แมงป่อง ตะขาบ หกล้ม อาหารไม่ย่อย ดีและเสมหะกำเริบ ลมพิษ พวกมนุษย์และพวกอมนุษย์ทำร้าย แล้วพึงพิจารณาถึงบาปอกุศลของเรายังมีอยู่หรือไม่ ถ้ามีอยู่ก็ให้รีบละเสีย เปรียบเหมือนไฟไหม้ที่ศีรษะที่ต้องรีบทำการดับโดยไว โดยทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความขะมักเขม้น ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะให้มีประมาณยิ่งเพื่อละบาปอกุศลธรรมเหล่านั้น แต่ถ้าพิจารณาแล้วไม่มีบาปอกุศลธรรมก็ให้อยู่ด้วยฌาน 1-2


พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ยมกวรรค


Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

Show more...
2 months ago
59 minutes 18 seconds

6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
ความสุขของคฤหัสถ์ [6833-6t]

หมวดข้อธรรม 4 ประการ พระสูตรที่ 1-4 ในปัตตกัมมวรรค หมวดว่าด้วยกรรมอันสมควร


ข้อที่ #61_ปัตตกัมมสูตร ว่าด้วยกรรมอันสมควร พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับอนาถบิณฑิกคหบดีถึงธรรมที่น่าปรารถนา 4 ประการ คือ 1. โภคทรัพย์ 2. ยศ (บริวารสมบัติ) 3. มีสุขภาพดี 4. หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดบนสวรรค์ โดยเหตุที่เอื้อให้เกิดของธรรมเหล่านั้นคือ สัมปทา 4 ได้แก่ 1. ศรัทธา 2. ศีล 3. จาคะ 4. ปัญญา ซึ่งปัญญาในที่นี้หมายถึง ปัญญาในการละนิวรณ์ได้ เพราะนิวรณ์จะทำให้ไม่ละในสิ่งที่ควรละและไม่ทำในสิ่งที่ควรทำจนทำให้การงานไม่เกิดผล จิตที่ปราศจากนิวรณ์จะแจ่มใสรู้แนวทางที่จะไป *ที่ควรระวัง คือ พอเกิดธรรมที่น่าใคร่น่าปรารถนาแล้ว ถ้าเกิดลุ่มหลงไปก็จะทำให้ปัญญาสัมปทาหายไปทันทีเช่นกัน ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงให้ใช้ทรัพย์นั้นไปใน 4 หน้าที่ จึงจะถือว่าเป็นกรรมอันสมควร ได้แก่การใช้ข่ายทรัพย์ดังนี้

  1. การเลี้ยงดูตนเอง บิดา มารดา ภรรยา บุตร มิตร บริวาร
  2. ป้องกันอันตรายที่เกิดจากไฟ น้ำ พระราชา โจร หรือจากทายาท
  3. สงเคราะห์ญาติ ต้อนรับแขก ทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย เสียภาษีอากร
  4. บำเพ็ญทักษิณาที่มีผลสูง

 

ข้อที่ #62_อานัณยสูตร ว่าด้วยสุขเกิดจากความไม่เป็นหนี้ กล่าวถึงความสุข 4 ประการของคฤหัสถ์ผู้อยู่ครองเรือน

  1. อัตถิสุข (สุขเกิดจากความมีทรัพย์)
  2. โภคสุข (สุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์)
  3. อานัณยสุข (สุขเกิดจากความไม่เป็นหนี้)
  4. อนวัชชสุข (สุขเกิดจากความประพฤติที่ไม่มีโทษ) คือ ความสุขที่เกิดจากประพฤติในกุศลธรรม ได้แก่ การคิดดี พูดดี ทำดี เป็นความสุขมีค่ามาก หากเปรียบโดยแบ่งความสุขชนิดนี้เป็น 16 ส่วน เพียงแค่ส่วนเดียวของความสุขชนิดนี้ยังมีค่ามากกว่า 3 ข้อแรกรวมกันเสียอีก

 

ข้อที่ #63_พรหมสูตร ว่าด้วยสกุลที่มีพรหม มารดาบิดาขื่อว่าเป็นพรหม, บุรพาจารย์ (ครูคนแรก), บุรพเทพ (ดูแลรักษา) และ อาหุไนยบุคคลของบุตร เพราะเหตุที่มารดาบิดาเป็นผู้มีอุปการะมากเฝ้าอบรมเลี้ยงดูสั่งสอนบุตร บุตรจึงควรเคารพ สักการะ บูชา เลี้ยงดูมารดาบิดา

 

ข้อที่ #64_นิรยสูตร ว่าด้วยธรรมเป็นเหตุให้เกิดในนรก ได้แก่ 1. ฆ่าสัตว์ 2. ลักทรัพย์ 3. ประพฤติผิดในกาม 4. พูดเท็จ

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ปัตตกัมมวรรค


Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

Show more...
3 months ago
54 minutes 37 seconds

6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
อภิภายตนะ – การมีอำนาจเหนืออารมณ์ [6832-6t]

หมวดข้อธรรม 8 ประการ พระสูตรที่ 5-10 ในภูมิจาลวรรค หมวดว่าด้วยเหตุที่ทำให้แผ่นดินไหวครั้งใหญ่


ข้อที่ #65_อภิภายตนสูตร ว่าด้วยอภิภายตนะ “อภิภายตนะ” หมายถึง ญาณหรือฌานที่เป็นเหตุครอบงำ (การมีอำนาจเหนือ) อารมณ์ทั้งหลาย เป็นลักษณะของสมาธิที่ประกอบด้วยปัญญาคือมีสติเห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่เพลินไปตามสิ่งที่ได้รับรู้ เป็นผู้ที่ครอบงำอายตนะได้ แสดงไว้ 8 ประการดังนี้

1 - 2 บุคคลมีรูปสัญญาภายใน (รูปฌาน) เห็นรูปภายนอก (เทวดา) ขนาดเล็ก / ขนาดใหญ่

3 - 4 บุคคลมีอรูปสัญญาภายใน (อรูปฌาน) เห็นรูปภายนอกขนาดเล็ก / ขนาดใหญ่

5 - 8 บุคคลมีอรูปสัญญาภายใน (อรูปฌาน) เห็นรูปภายนอก (เทวดาชั้นพรหม) มีสีเขียว / สีเหลือง / สีแดง / สีขาว

 

ข้อที่ #66_วิโมกขสูตร ว่าด้วยวิโมกข์ วิโมกข์ (ความหลุดพ้น หรือ ความหลุดพ้นจากกิเลส) หมายถึงภาวะที่จิตหลุดพ้นจากสิ่งรบกวนและน้อมดิ่งไปในอารมณ์นั้น ๆ โดยอาศัยการเข้าฌานและเจริญสมาธิ ซึ่งมี 8 ประการ ได้แก่

1.) ผู้มีรูป (รูปฌาน) เห็นรูปทั้งหลาย 2) ผู้มีอรูปสัญญาภายใน มองเห็นรูปทั้งหลายภายนอก 3) ผู้น้อมใจไปว่า ‘งาม’ เท่านั้น คือ เห็นอยู่แต่ไม่เพลิดไปตาม (อุเบกขา)

4) ผู้บรรลุอากาสานัญจายตนะ “อากาศหาที่สุดมิได้” 5) ผู้บรรลุวิญญาณัญจายตนะ “วิญญาณหาที่สุดมิได้” 6) ผู้บรรลุอากิญจัญญายตนะ “ไม่มีอะไร” 7) ผู้บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ “มีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่” 8) ผู้บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ “สัญญาและเวทนาดับไป”

 

ข้อที่ #67_อนริยโวหารสูตร ว่าด้วยอนริยโวหาร ถ้อยคำที่ไม่ประเสริฐ 8 ประการ คือ

1) กล่าวสิ่งที่ไม่ได้เห็นว่าได้เห็น 2) กล่าวสิ่งที่ไม่ได้ฟังว่าได้ฟัง 3) กล่าวสิ่งที่ไม่ได้ทราบว่าได้ทราบ 4) กล่าวสิ่งที่ไม่ได้รู้ว่าได้รู้ (จมูก, ลิ้น, กาย)

5) กล่าวสิ่งที่ได้เห็นว่าไม่ได้เห็น 6) กล่าวสิ่งที่ได้ฟังว่าไม่ได้ฟัง 7) กล่าวสิ่งที่ได้ทราบว่าไม่ได้ทราบ 8) กล่าวสิ่งที่ได้รู้ว่าไม่ได้รู้

 

ข้อที่ #68_อริยโวหารสูตร ว่าด้วยอริยโวหาร ถ้อยคำที่ประเสริฐ 8 ประการ อะไรบ้าง คือ

1) กล่าวสิ่งที่ไม่ได้เห็นว่าไม่ได้เห็น 2) กล่าวสิ่งที่ไม่ได้ฟังว่าไม่ได้ฟัง 3) กล่าวสิ่งที่ไม่ได้ทราบว่าไม่ได้ทราบ 4) กล่าวสิ่งที่ไม่ได้รู้ว่าไม่ได้รู้ 5) กล่าวสิ่งที่ได้เห็นว่าได้เห็น 6) กล่าวสิ่งที่ได้ฟังว่าได้ฟัง 7) กล่าวสิ่งที่ได้ทราบว่าได้ทราบ 8) กล่าวสิ่งที่ได้รู้ว่าได้รู้

 

ข้อที่ #69_ปริสาสูตร ว่าด้วยบริษัท บริษัท (ชุมนุม) 8 จำพวกไหนบ้างที่เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าไปสนทนาด้วยแล้วเข้ากับบริษัทนั้นได้ดี ชี้แจงเห็นชัด อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญ ได้แก่

1) ขัตติยบริษัท 2) พราหมณบริษัท 3) คหบดีบริษัท 4) สมณบริษัท 5) จาตุมหาราชบริษัท 6) ดาวดึงสบริษัท 7) มารบริษัท 8) พรหมบริษัท

 

ข้อที่ #70_ภูมิจาลสูตร ว่าด้วยเหตุที่ทำให้แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ กล่าวถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นช่วงระหว่างปลงอายุสังขารของพระพุทธเจ้า โดยกล่าวถึงลำดับเหตุการณ์ที่พระองค์ได้ให้นัยยะกับท่านพระอานนท์เรื่อง อิทธบาท 4 ไว้ถึง 15 ครั้ง แต่ท่านพระอานนท์ไม่ทราบนัยยะเหล่านั้น มารจึงได้ช่องมาทูลขอให้พระองค์เสด็จดับข้นธ์ปรินิพพาน เมื่อพระองค์ทรงรับปากมารแล้วส่งผลทำให้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ท่านพระอานนท์จึงได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงเหตุแห่งแผ่นดินไหวในครั้งนั้น พระองค์จึงได้ทรงแสดงถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง 8 ประการ คือ

1) เหตุแห่งอุตุ เวลาที่ลมพายุพัดแรงย่อมทำให้น้ำกระเพื่อม น้ำที่กระเพื่อมย่อมทำให้แผ่นดินไหวตาม 2) สมณะหรือพราหมณ์ผู้มีฤทธิ์ ได้เจริญปฐวีสัญญาและอาโปสัญญาจนหาประมาณมิได้ 3) พระโพธิสัตว์จุติจากภพดุสิต เสด็จสู่พระครรภ์ของพระมารดา 4) พระโพธิสัตว์ประสูติจากพระครรภ์ของพระมารดา 5) ตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ 6) ตถาคตประกาศธรรมจักรอันยอดเยี่ยมให้เป็นไป (ประกาศศาสนา) 7)ตถาคตปลงอายุสังขาร 8) ตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ภูมิจาลวรรค


Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

Show more...
3 months ago
58 minutes 35 seconds

6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
จตุรพิธพรชัย [6831-6t]

หมวดข้อธรรม 4 ประการ พระสูตร1ที่ 3 – 10 ในปุญญาภิสันทวรรค หมวดว่าด้วยห้วงบุญกุศล


ข้อที่ #53_ปฐมสังวาสสูตร และ ข้อที่ #54_ทุติยสังวาสสูตร ว่าด้วยการอยู่ร่วมกัน สูตรที่ 1-2 กล่าวถึงการอยู่ร่วมกันของสามีและภรรยา 2 ประเภท ได้แก่ ประเภท “ผี” สูตร 1 หมายถึง เป็นคนทุศีล มีความตระหนี่ และ สูตร 2 หมายถึง บุคคลประกอบด้วยอกุศลกรรมบถ 10 และในประเภท “เทวดา” สูตร 1 หมายถึง เป็นคนมีศีลปราศจากความตระหนี่ และ สูตร 2 หมายถึง บุคคลประกอบด้วยกุศลกรรมบถ 10 โดยจำแนกการอยู่ร่วมกันของบุคคลทั้ง 2 ประเภทนี้ไว้ดังนี้

  1. สามีผีอยู่ร่วมกับภรรยาผี
  2. สามีผีอยู่ร่วมกับภรรยาเทวดา
  3. สามีเทวดาอยู่ร่วมกับภรรยาผี
  4. สามีเทวดาอยู่ร่วมกับภรรยาเทวดา

 

ข้อที่ #55_ปฐมสมชีวีสูตร และ ข้อที่ #56_ทุติยสมชีวีสูตร ว่าด้วยผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เสมอกัน สูตรที่ 1-2 เป็นพระสูตรที่ว่าด้วยการที่สามีและภรรยามีความปรารถนาที่จะพบกันทั้งในชาตินี้และชาติหน้า จะต้องมี ศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาเสมอกัน โดยสูตร 1 ปรารภถึงนกุลปิตาคหบดีและนกุลมาตาคหปตานี ส่วนสูตร 2 กล่าวกับภิกษุทั้งหลาย

 

ข้อที่ 57-59 มีข้อธรรมที่เหมือนกันคือ ผู้ให้โภชนะ (อาหาร) ชื่อว่าให้ฐานะ 4 ประการแก่ปฏิคาหก (ผู้รับ) ได้แก่ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมมีส่วนได้อายุ วรรณะ สุขะ พละอันเป็นทิพย์หรืออันเป็นของมนุษย์ โดยใน


ข้อที่ #57_สุปปวาสาสูตร ว่าด้วยสุปปวาสาโกฬิยธิดา เป็นการปรารภถึง พระนางสุปปวาสา อุบาสิกาผู้เลิศในการถวายของมีรสอันประณีต


ข้อที่ #58_สุทัตตสูตร ว่าด้วยสุทัตตคหบดี ปรารภถึง อนาถบิณฑิกคหบดี อุบาสกผู้เลิศในการเป็นผู้ถวายทาน


ข้อที่ #59_โภชนสูตร ว่าด้วยทายกผู้ให้โภชนะ กล่าวกับภิกษุทั้งหลาย

 

ข้อที่ #60_คิหิสามีจิสูตร ว่าด้วยการปฏิบัติปฏิปทาที่เหมาะสมแก่คฤหัสถ์ ปรารภอนาถบิณฑิกคหบดี กล่าวถึง การบำรุงภิกษุด้วยปัจจัยสี่เป็นเหตุให้ได้ยศ เป็นไปเพื่อให้เกิดในสวรรค์

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ 21 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 13 [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ปุญญาภิสันทวรรค


Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

Show more...
3 months ago
53 minutes 28 seconds

6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
อธิเทวญาณทัสสนะ – ความหยั่งรู้เกี่ยวกับเทวดา [6830-6t]

หมวดข้อธรรม 8 ประการ พระสูตรที่ 4 - 5 ในภูมิจาลวรรค หมวดว่าด้วยเหตุที่ทำให้แผ่นดินไหวครั้งใหญ่


ข้อที่ #64_คยาสีสสูตร ว่าด้วยพระธรรมเทศนาที่คยาสีสะ ณ ตำบลคยาสีสะ เขตเมืองคยา พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลาย เมื่อครั้งที่พระองค์ยังไม่ได้ตรัสรู้ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ พระองค์ทรงปฏิบัติ อธิเทวญาณทัสสนะ คือ ความรู้ความเห็น (ตาทิพย์) เกี่ยวกับเทวดาอันยิ่ง เป็นการปฏิบัติเพื่อพัฒนาญาณทัศนะการหยั่งรู้เกี่ยวกับเทวดาในขั้นสูง เป็นหนึ่งในญาณที่เกิดจากการเจริญสมาธิและปัญญา ทำให้ผู้ปฏิบัติสามารถเห็นแจ้งหรือรู้ถึงเรื่องราวความเป็นไปของเทวดาได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของญาณทัสสนะที่ละเอียดและบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น โดยมีลำดับดังนี้

  1. เห็นแสงสว่าง และรูป (เทวดา)
  2. เห็นแสงสว่าง เห็นรูป และพูดคุยตอบโต้กันได้
  3. เห็นแสงสว่าง... ฯ และรู้ว่ามาจากเทพนิกายไหน
  4. เห็นแสงสว่าง.... ฯ และรู้ว่าหลังจากจุติแล้วจะไปเกิดที่ไหน
  5. เห็นแสงสว่าง..... ฯ และรู้ว่าไปเกิดที่ไหน ด้วยวิบาก (คือ ผลของกรรม) อะไร
  6. เห็นแสงสว่าง...... ฯ และรู้ว่ามีความเป็นอยู่ปกติ สุข ทุกข์อย่างไร
  7. เห็นแสงสว่าง....... ฯ และรู้ว่ามีอายุเท่าไหร่
  8. เห็นแสงสว่าง........ ฯ และรู้ว่าในอดีตเคยอยู่ร่วมกันหรือไม่

 

ข้อที่ #65_อภิภายตนสูตร ว่าด้วยอภิภายตนะ “อภิภายตนะ” หมายถึง ญาณหรือฌานที่เป็นเหตุครอบงำนิวรณ์ 5 (สมาธิเพื่อกำจัดนิวรณ์5)

1 - 2. บุคคลหนึ่งมีรูปสัญญาภายใน (รูปฌาน) เห็นรูปภายนอก (เทวดา) ขนาดเล็ก / ขนาดใหญ่

3 - 4. บุคคลหนึ่งมีอรูปสัญญาภายใน (อรูปฌาน)เห็นรูปภายนอกขนาดเล็ก / ขนาดใหญ่

5 - 8. บุคคลหนึ่งมีอรูปสัญญาภายใน (อรูปฌาน) เห็นรูปภายนอก (เทวดาชั้นพรหม) มีสีเขียว / สีเหลือง / สีแดง / สีขาว

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย ภูมิจาลวรรค


Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

Show more...
3 months ago
58 minutes 53 seconds

6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
วิปลาส - เคลื่อนจากความจริง [6829-6t]

หมวดข้อธรรม 4 ประการ พระสูตรที่ 7-10 ในโรหิตัสสวรรค หมวดว่าด้วยโรหิตัสสเทพบุตร และพระสูตรที่ 1-2 ในปุญญาภิสันทวรรค หมวดว่าด้วยห้วงบุญกุศล

 

ข้อที่ #47_สุวิทูรสูตร ว่าด้วยสิ่งที่อยู่ห่างไกลกันเหลือเกิน กล่าวถึงสิ่งที่อยู่ห่างไกลกันเหลือเกิน 4 อย่าง โดยได้ยก 3 อย่างแรกขึ้นมาก่อน คือ ท้องฟ้ากับแผ่นดิน, ฝั่ง (ทั้งสอง) ของทะเล, จุดที่ดวงอาทิตย์ขึ้นและตก เพื่อที่จะเปรียบเปรยความแตกต่างระหว่างธรรมของสัตบุรุษ (คนดี) กับธรรมของอสัตบุรุษ (คนชั่ว)

 

ข้อที่ #48_วิสาขสูตร ว่าด้วยการแสดงธรรมของวิสาขปัญจาลิบุตร ปรารภถึงพระวิสาขปัญจาลีบุตรเถระ (เป็นบุตรของนางปัญจาลี) ที่สามารถแสดงธรรมให้ผู้ฟังเกิดความเห็นที่ถูกต้องแล้วอยากรับเอาไปปฏิบัติ ด้วยบทพยัญชนะถูกต้อง ภาษาสละสลวย ให้รู้เนื้อความได้ และแสดงธรรมที่เกี่ยวเนื่องด้วยนิพพาน

 

ข้อที่ #49_วิปัลลาสสูตร ว่าด้วยวิปลาส “ วิปลาส ” คือ ความคลาดเคลื่อน เข้าใจผิดเพี้ยนไปจากความจริง ได้แก่ สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส และทิฏฐิวิปลาสในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ในสิ่งที่เป็นอนัตตาว่าเป็นอัตตา และในสิ่งที่ไม่งามว่างาม

 

ข้อที่ #50_อุปักกิเลสสูตร ว่าด้วยสิ่งมัวหมอง สิ่งที่เป็นเหตุให้ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์มัวหมองไม่ส่องสว่างรุ่งเรือง มีอยู่ 4 ประการ ได้แก่ เมฆ หมอก ควัน และฝุ่นละออง ราหูผู้เป็นจอมอสูร อุปมาอุปไมยกับอุปกิเลส 4 ประการ ที่เป็นเหตุให้สมณพราหมณ์มัวหมอง ไม่สง่า ไม่รุ่งเรือง ได้แก่

  1. การดื่มสุราและเมรัย
  2. เสพเมถุนธรรม
  3. ยินดีในทองและเงิน
  4. ดำเนินชีวิตด้วยมิจฉาชีพ

 

ข้อที่ #51_ปฐมปุญญาภิสันทสูตร ว่าด้วยห้วงบุญกุศล สูตรที่ 1 ผลแห่งบุญที่ได้ถวายปัจจัย 4 แก่อริยสงฆ์ (ผู้ปฏิบัติดีปฎิบัติชอบ) ทำให้ถึงความเป็นผู้มีอารมณ์ดี มีสุขเป็นผล เปรียบได้กับแม่น้ำในมหาสมุทรที่ทั้งลึกและกว้างใหญ่ มีปริมาณน้ำมาก ห้วงแห่งบุญก็มีมากวัดปริมาณไม่ได้ เช่นนั้นเหมือนกัน

 

ข้อที่ #52_ทุติยปุญญาภิสันทสูตร ว่าด้วยห้วงบุญกุศล สูตรที่ 2 กล่าวถึง โสตาปัตติยังคะ 4 คือ มีศรัทธาหยั่งลงมั่นไม่หวั่นไหวในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และมีศีล ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต โรหิตัสสวรรค ปุญญาภิสันทวรรค


Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

Show more...
4 months ago
54 minutes 41 seconds

6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
ความอยากได้ลาภ [6828-6t]

หมวดข้อธรรม 8 ประการ พระสูตรที่ 1 - พระสูตรที่ 3 ในภูมิจาลวรรค หมวดว่าด้วยเหตุที่ทำให้แผ่นดินไหวครั้งใหญ่


ข้อที่ #61_อิจฉาสูตร ว่าด้วยความอยากได้ลาภ ลาภในที่นี้ หมายถึง ปัจจัย 4 โดยกล่าวถึงบุคคล 8 จำพวกที่แม้ว่ากายจะอยู่วิเวกแต่ถ้าปฏิบัติไม่ต่อเนื่อง (คือ ไม่เจริญวิปัสสนาอย่างต่อเนื่อง) ความอยากในลาภย่อมปรากฎ โดยแบ่งจำแนกได้ดังนี้

  • บุคคล 4 จำพวกแรก คือ ขาดสติสัมปชัญญะ จะหลงไปตามผลที่ปรากฎ ทำให้เคลื่อนจากสัทธรรม กล่าวคือ เมื่อมีความอยากในลาภเกิดขึ้นบุคคลพวกนี้จะตั้งความเพียรในการแสวงหาหรือไม่แสวงหาลาภก็ตาม หากไม่ได้ลาภก็จะตีอกชกตัวเสียใจ และในทางตรงกันข้ามถ้าได้ลาภก็จะดีใจหลงไหลมัวเมาในลาภนั้น
  • บุคคล 4 จำพวกหลัง คือ มีสติสัมปชัญญะ เมื่อมีความอยากในลาภแล้วจะตั้งความเพียรหรือไม่ตั้งความเพียรในการแสวงหาลาภนั้นไว้ก็ตาม ผลคือจะไม่หลงไหลดีใจหรือเสียใจไปตามผลที่ปรากฎ ทำให้ไม่เคลื่อนจากสัทธรรม


*ตารางเปรียบเทียบ  บุคคล 8 ประเภท ที่มีปรากฏอยู่ในโลก 


ข้อที่ #62_อลังสูตร ว่าด้วยผู้สามารถทำประโยชน์ตนและผู้อื่น โดยการนำธรรม 6 ประการนี้มาแยกจำแนกลงในบุคคลผู้สามารถปฏิบัติให้เกื้อกูลสำหรับตนเองและผู้อื่นได้ โดยจำแนกออกได้ 8 ประเภท แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้


ธรรม 6 ประการ ได้แก่

  1. ใคร่ครวญธรรมได้เร็ว
  2. ทรงจำธรรมได้
  3. พิจารณาเนื้อความแห่งธรรม
  4. ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
  5. มีวาจางาม เจรจาถ้อยคำไพเราะ
  6. ชี้แจงให้เห็นชัด ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญ ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริง

 

โดยนำธรรมข้างต้นมาแบ่งประเภทบุคคลได้ 3 กลุ่มดังนี้

  • เพียงพอสำหรับตนเองและผู้อื่น มี 2 ประเภท ได้แก่ บุคคลประกอบด้วยธรรมในข้อที่ 1-6 และข้อที่ 2-6
  • ไม่เพียงพอสำหรับตนเองแต่เพียงพอสำหรับผู้อื่น มี 3 ประเภท ได้แก่ บุคคลประกอบด้วยธรรมในข้อที่1, 2, 5 และ 6 / ข้อที่ 2, 5 และ 6 / ข้อที่ 5 และ 6
  • เพียงพอสำหรับตนเองแต่ไม่เพียงพอสำหรับผู้อื่น มี 3 ประเภท ได้แก่ บุคคลประกอบด้วยธรรมในข้อที่ 1-4 / ข้อที่ 2-4 / ข้อที่ 3-4


*ตารางเปรียบเทียบ  บุคคลประกอบด้วยธรรม 6 ประการนี้ เป็นผู้ที่มีความสามารถปฏิบัติให้เกื้อกูลสำหรับตนเองและผู้อื่น 


ข้อที่ #63_สังขิตตสูตร ว่าด้วยภิกษุทูลขอให้ทรงแสดงธรรมโดยย่อ ปรารภภิกษุรูปหนึ่งที่ติดตามพระพุทธเจ้าในการแสดงธรรมได้กราบทูลถามถึงข้อปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม (ให้เกิดการบรรลุธรรม) โดยพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงพรหมวิหาร 4 (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) ซึ่งเป็นองค์ของฌาน 1-4 และให้เห็นสติปัฏฐาน 4 (กาย เวทนา จิต ธรรม) ซึ่งปรากฏอยู่ในฌาน 1-4 ได้ในทุกอิริยาบถ 4 (ยืน เดิน นั่ง นอน) ภิกษุรูปนั้นน้อมนำเอามาปฏิบัติได้ไม่นานก็ได้บรรลุอรหันต์


พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ภูมิจาลวรรค


Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

Show more...
4 months ago
57 minutes 37 seconds

6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
ที่สุดแห่งโลก [6827-6t]

หมวดธรรม 4 ประการ ในโรหิตัสสวรรค หมวดว่าด้วยโรหิตัสสเทพบุตร

ข้อที่ #41_สมาธิภาวนาสูตร ว่าด้วยสมาธิภาวนา สมาธิภาวนาเป็นหนึ่งในองค์ของอริยมรรคมีองค์แปด คือสัมมาสมาธิที่เมื่อบุคคลเจริญกระทำให้มากแล้วย่อมเป็นไปเพื่อ

1. อยู่เป็นสุขในปัจจุบัน คือ สามารถเข้าฌาน 1-4 ได้ 

2. ได้ญาณทัสสนะ (ทิพพจักขุญาณ) คือ การทำจิตให้เป็นเสมือนแสงสว่าง กำหนดหมายว่าแสงสว่างในเวลากลางวันฉันใด ย่อมทำในใจว่าแม้ในกลางคืนก็ฉันนั้น

3. สติสัมปชัญญะ คือ มีสติเห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของเวทนา สัญญา และวิตก

4. ความสิ้นอาสวะ คือ เห็นการเกิด-ดับในอุปทานขันธ์ห้าได้ด้วยปัญญา (ญาณ)


ข้อที่ #42_ปัญหพยากรณสูตร ว่าด้วยวิธีการตอบปัญหา เมื่อถูกถามควรพิจารณาถึงคำถามและเลือกวิธีที่จะตอบให้เหมาะสมกับคำถามนั้น พระสูตรนี้ได้บอกถึงวิธีที่จะใช้ในการตอบคำถามไว้ 4 วิธี คือ

1. ตอบโดยนัยเดียว

2. แยกตอบ

3. ตอบโดยย้อนถาม

4. งดตอบ


ข้อที่ #43_ปฐมโกธครุสูตร และ ข้อที่ #44_ทุติยโกธครุสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้มักโกรธ สูตรที่ 1-2 มีเนื้อหาข้อธรรมที่เหมือนกันกล่าวถึงคุณสมบัติของบุคคล 4 ประเภทที่ไม่มีความเคารพสัทธรรม คือ บุคคลผู้มักโกรธ ผู้มักลบหลู่ ผู้เห็นแก่ลาภ และสักการะ และในทางตรงกันข้ามบุคคลผู้มีความเคารพสัทธรรมจะเป็นผู้ไม่มักโกรธ ไม่ลบหลู่ ไม่เห็นแก่ลาภและสักการะ บุคคลจำพวกหลังนี้ย่อมทำตนให้เจริญในธรรมได้


ข้อที่ #45_โรหิตัสสสูตร ว่าด้วยโรหิตัสสเทพบุตร เป็นเรื่องราวของเทวดาที่ชื่อว่า “โรหิตัสสะ” ได้เข้ามากราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าถึง “การทำที่สุดแห่งโลก ได้ด้วยการไปอย่างไร?” (ที่สุดแห่งโลก ในที่นี้หมายถึงที่สุดแห่งทุกข์ คือนิพพานนั่นเอง) แล้วได้เล่าถึงครั้งที่ตนเคยเป็นฤาษีสามารถเหาะข้ามโลกได้ด้วยความว่องไวแห่งฤทธิ์ตลอดระยะเวลา 100 ปี ไม่กินไม่นอนจนกระทั่งตายก็ยังไม่สามารถทำให้ถึงที่สุดของโลกได้ หลังจากนั้นพระผู้มีภาคเจ้าก็ได้ทรงตอบกลับว่า พระองค์ไม่กล่าวที่สุดแห่งโลกได้ด้วยการไป แต่พระองค์ได้ทรงบัญญัติอริยสัจ 4 คือ ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการที่มีอยู่ในกายนี้ เป็นข้อบัญญัติที่จะทำให้ถึงที่สุดแห่งโลกได้


ข้อที่ #46_ทุติยโรหิตัสสสูตร ว่าด้วยโรหิตัสสเทพบุตร สูตรที่ 2 พระพุทธเจ้าทรงนำเรื่องราวของโรหิตัสสเทพบุตรมาเล่าให้เหล่าภิกษุฟังโดยมีเนื้อหาแบบเดียวกันกับโรหิตัสสสูตร


พระไตรปิฎกเล่มที่ 21 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 13 [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต โรหิตัสสวรรค


Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

Show more...
4 months ago
48 minutes 52 seconds

6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
ในพระไตรปิฏกมีอะไร ทำความเข้าใจไปทีละข้อ, เปิดไปทีละหน้า, ให้จบไปทีละเล่ม, พบกับพระอาจารย์พระมหาไพบูลย์ อภิปุณโณ และ คุณเตือนใจ สินธุวณิก, ล้อมวงกันมาฟัง มั่วสุมกันมาศึกษา จะพบขุมทรัพย์ทางปัญญา ในช่วง "ขุดเพชรในพระไตรปิฏก". New Episode ทุกวันเสาร์ เวลา 05:00, Podcast นี้เป็นส่วนหนึ่งของรายการธรรมะรับอรุณ ออกอากาศทุกวันทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) มีคำถาม/ข้อเสนอแนะ หรือสมัครติดตามฟังทั้ง 7 รายการ ที่ panya.org

Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.