Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
สูตร#1 เวนาคปุรสูตร ทรงแสดงแก่พราหมณ์และคหบดีชาวเวนาคปุระ แคว้นโกศล ทรงปรารภคำกราบทูลของพราหมณ์วัจฉโคตรที่กล่าวสรรเสริญถึงอินทรีย์ที่ผ่องใส พระฉวีวรรณที่บริสุทธิ์ผุดผ่องของพระองค์เช่นนั้น การจะได้ที่นอนสูงใหญ่ คือเตียงมีเท้าเกินประมาณ ฯลฯ เครื่องลาดมีหมอนข้างตามความปรารถนาได้โดยไม่ยากไม่ลำบากแน่นอน แต่ทรงตรัสว่า ที่นอนสูงใหญ่ ฯลฯ บรรพชิตหาได้ยาก และถ้าได้มาก็ไม่สมควร แต่มีที่นอนสูง ที่นอนใหญ่ 3 อย่าง ที่ทรงได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบาก คือที่นอน ฯลฯ ที่เป็นทิพย์ จากการได้ฌาณทั้ง 4, ที่นอน ฯลฯ ที่เป็นของพรหม จากการเจริญพรหมวิหาร, ที่นอน ฯลฯ ที่เป็นของพระอริยะ จากการที่ละกิเลสได้เด็ดขาด เมื่อจบธรรมเทศนา พราหมณ์วัจฉโคตรทูลสรรเสริญและแสดงตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต
สูตร#2 เวขณสสูตร ทรงแสดงแก่ปริพาชกชื่อเวขณสะ ขณะประทับอยู่เชตวนาราม ได้เข้าไปเฝ้าทูลเรื่อง “วรรณะอันยอดเยี่ยม” แต่ชี้ชัดลงไปไม่ได้ว่าวรรณะไหน เปรียบเหมือนชายคนหนึ่งปรารภถึงหญิงสาวอย่างนี้ว่า ‘เราปรารถนารักใคร่หญิงงามแห่งชนบทนี้’ แต่เมื่อถูกถามในรายละเอียดของหญิงนั้น กลับตอบว่าไม่รู้จัก และได้ทรงเปรียบเทียบวรรณะเป็นคู่ให้เห็นว่ามีสิ่งที่เลิศกว่ากันเป็นชั้น ๆ และตรัสอธิบายเรื่องของกามในสุขที่ลึกซึ้งขึ้นไปคือสมาธิ และความงดงามลึกซึ้งถึงขั้นไม่มีอวิชชา เมื่อจบธรรมเทศนา เวขณสปริพพาชกทูลสรรเสริญแสดงตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต
สูตร #3 เอสุการีสูตร ว่าด้วยเรื่องของวรรณะ
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
สูตร#1 กุลสูตร พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปาวาริกัมพวัน เขตเมืองนาฬันทา ผู้ใหญ่บ้านชื่ออสิพันธกบุตร ได้รับคำแนะนำจากนิครนถ์นาฎบุตรให้มาโต้วาทะกับพระผู้มีพระภาคเรื่องเหตุที่ทำให้ตระกูลคับแค้น โดยยกเหตุการณ์ที่พระองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จเที่ยวบิณฑบาตจากชาวบ้านผู้ประสบภัยข้าวยากหมากแพงที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรุนแรงในเมืองนาฬันทาขณะนั้นมาเป็นเงื่อนไข พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงเหตุปัจจัยให้ตระกูลคับแค้น 8 ประการ คือ (1) จากพระราชา (2) จากโจร (3) จากไฟ (4) จากน้ำ (5) จากทรัพย์ที่มีได้เคลื่อนที่ไป (6) จากการงานที่ไม่ดี (7) จากทรัพย์ในตระกูลที่กลายเป็นถ่านเพลิง (8) จากการใช้จ่ายทรัพย์อย่างสุรุ่ย สุร่ายฟุ่มเฟือย ไม่ใช่เพราะการบิณฑบาตของพระองค์ ทรงแสดงว่า การให้ ความมีสัจจะ ความสำรวมเป็นหตุให้ตระกูลมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีเงินทองมาก
สูตร#2 สังขธมสูตร ณ ปาวาริกัมพวัน พระผู้มีพระภาคตรัสถามผู้ใหญ่บ้านชื่ออสิพันธกบุตรว่า นิครนภ์นาฏบุตรแสดงธรรมแก่สาวกอย่างไร เขาทูลตอบว่า ผู้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม และผู้พูดเท็จ ทั้งหมดต้องไปสู่อบาย ตกนรก กรรมมีมากกรรมนั้น ๆ นำบุคคลไป ทรงแย้งว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็แสดงว่าไม่มีไปเกิดในอบาย ในนรกเลย เพราะการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ต้องทำในเวลาขณะตื่น ขณะนอนหลับทำไม่ได้ ทรงถามว่า เวลาทำกรรมกับเวลาไม่ทำกรรมของคนคนหนึ่ง เวลาไหนมีมากกว่ากัน เมื่อผู้ใหญ่บ้านทูลตอบว่า เวลาไม่ทำกรรมมีมากกว่า จึงทรงสรุปว่าไม่มีกรรมใดที่จะถือว่า "มีมาก" เมื่อไม่มีกรรมมาก ก็ไม่มีกรรมที่นำบุคคลไปสู่อบาย นรก ความเห็นของนิครนถ์ นาฏบุตร จึงเป็นความเห็นผิด แล้วทรงสอนธรรมตามที่ได้ตรัสรู้โดยชอบ จะละบาปกรรมและก้าวล่วงบาปกรรมนั้นได้ และทรงสรุปว่า เมื่อปฏิบัติธรรมได้ผลสมควรแก่กรรมแล้ว ให้แผ่เมตตาจิต กรุณาจิต มุทิตาจิต และอุเบกขาจิตไปในทิศทั้งหลายเหมือนคนมีกำลังเป่าสังข์ให้ได้ยินโดยทั่วกัน
สูตร#3 เขตตูปมสูตร ณ ปาวาริกัมพวัน ผู้ใหญ่บ้านชื่ออสิพันธกบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วทูลถามว่า ทรงเอ็นดูมุ่งประโยชน์ต่อสรรพสัตว์มิใช่หรือ ทำไมจึงทรงแสดงธรรมโดยเคารพแก่คนบางพวก ไม่ทรงแสดงธรรมโดยเคารพแก่คนบางพวก ตรัสตอบว่า ทรงเอ็นดูมุ่งประโยชน์ต่อสรรพสัตว์จริง คือทรงแสดงธรรมโดยเคารพต่อสรรพสัตว์เสมอกัน แต่ที่ทรงแสดงแก่คนบางพวกก่อน ก็เพราะทรงเอ็นดูมุ่งประโยชน์ต่อคนเหล่านั้นผู้พร้อมจะฟังธรรมเทศนาก่อน ทรงเปรียบให้ฟังว่า พระองค์เหมือนชาวนาที่ฉลาดผู้เลือกหว่านพืชในนาดีก่อน แล้วหว่านในนาปานกลาง ส่วนนาเลวซึ่งดินแข็ง ดินเค็ม ดินไม่ดีนั้น ชาวนาจะหว่านพืชบ้าง ไม่หว่านพืชบ้างก็ได้ นอกจากนี้ยังทรงอุปมาด้วยคนตักน้ำใส่โอ่ง 3 ชนิด คือ (1) โอ่งไม่ร้าว น้ำไม่ซึม (2) โอ่งไม่ร้าว แต่น้ำซึมออกได้ (3) โอ่งร้าวและน้ำซึมออกได้ โอ่ง 3 ชนิดนี้ แม้คนตักน้ำจะใส่น้ำลงเท่า ๆ กัน ก็ย่อมรับน้ำไว้ได้ไม่เท่ากัน ข้อนี้ฉันใด ผู้ฟังพระธรรมเทศนาก็รับธรรมไว้ได้ไม่ท่ากันฉันนั้น
สูตร#4 อสิพันธกปุตตสูตร ณ ปาวาริกัมพวัน ผู้ใหญ่บ้านชื่ออสิพันธกบุตรได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วทูลถามว่า ทรงสามารถทำให้คนตายกลับฟื้นขึ้นมา ทรงสอนให้รู้ชอบ ให้ไปเกิดในสวรรค์ เหมือนพวกพราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิได้หรือไม่ ตรัสตอบว่า คนที่ประกอบด้วยอกุศลกรรมบถ 10 ประการ มหาชนช่วยกันสวดอ้อนวอน สวดสรรเสริญ ทำพิธีกรรมขอให้ไปเกิดในสวรรค์ ผู้นั้นจะไปเกิดในสวรรค์ได้หรือไม่ เมื่ออสิพันธกบุตรทูลตอบว่า ไม่ได้ จึงตรัสอุปมาให้ฟังว่า เหมือนหินใหญ่ที่จมน้ำไม่อาจลอยขึ้นตามคำอ้อนวอน คำสรรเสริญ และพิธีกรรมของมหาชน ในทางตรงกันข้าม คนที่ประกอบด้วยกุศลกรรมบถ 10 ประการ ถึงมหาชนจะสวดอ้อนวอน สวดสรรเสริญ ทำพิธีกรรมขอให้ไปตกนรก ผู้นั้นก็ไม่ไปตกนรกแน่นอน เหมือนเนยใสที่ลอยน้ำย่อมไม่จมน้ำตามคำอ้อนวอน คำสรรเสริญและพิธีกรรมของมหาชน
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
โพธิราชกุมารสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแก่โพธิราชกุมาร ขณะประทับอยู่ ณ เภสกฬาวัน ในงานสมโภชปราสาทชื่อ โกกนุท ที่มีลักษณะเหมือนดอกบัวลอยน้ำ แล้วทรงเล่าพระประวัติของพระองค์ตั้งแต่ตอนที่บำเพ็ญความเพียรจนถึงตรัสรู้ธรรม จนกระทั่งไปถึงการประกาศสอนศาสนา จนคนบรรลุตามได้ เป็นความน่าอัศจรรย์ ที่มีพระพุทธเจ้า มีคำสอนคือธรรม ที่ถ้าเมื่อใครปฏิบัติตามด้วยความเพียร 5 ประการ ก็จะทำให้แจ้งประโยชน์ยอดเยี่ยมอันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ได้ โดยใช้เวลาเพียง 7 ปี 7เดือน หรือแค่ 7 วัน 7คืน หรือสั่งสอนในเวลาเช้า บรรลุในเวลาเย็น สั่งสอนในเวลาเย็น บรรลุในเวลาเช้าได้ เมื่อฟังจบแล้วโพธิราชกุมารกล่าวว่า ตนเคยถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะมาแล้วสองครั้ง คือตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา และในวัยเด็ก และครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม ขอประกาศตนเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
สูตร#1 จูฬเวทัลลสูตร ว่าด้วยการสนทนาธรรมที่ทำให้เกิดปัญญาสูตรเล็ก การสนทนาธรรมระหว่างภิกษุณีชื่อว่าธัมมทินนาและอุบาสกชื่อวิสาขะ ขณะพักอยู่ ณ พระเวฬุวัน เขตกรุงราชคฤห์
วิสาขอุบาสกเข้าไปเยี่ยมธัมมทินนาภิกษุณีและเรียนถามปัญหาธรรม จำนวน 5 เรื่อง คือ
สักกายทิฏฐิ, มรรคมีองค์ 8 กับขันธ์3 , สมาธิและสังขาร , สัญญาเวทยิตนิโรธ และเวทนา
ธัมมทินนาภิกษุณีได้ตอบปัญหาต่าง ๆ อย่างชัดเจนเป็นที่พอใจแก่วิสาขอุบาสก และเมื่อวิสาขอุบาสกไปกราบทูลให้พระผู้มีพระภาคทรงทราบ ทรงตรัสว่าธรรมทินนาภิกษุณีเป็นบัณฑิต มีปัญญามาก ทรงตรัสรับรองที่ธรรมทินนาภิกษุณีตอบนั้นว่าถูกต้อง ถ้ามาทูลถามพระองค์ ก็จะตรัสตอบอย่างที่ธัมมทินนาภิกษุณีตอบนั้นเหมือนกัน
สูตร#2 อนาถปิณฑิโกวาทสูตร ว่าด้วยการให้โอวาทแก่อนาถบิณฑิกเศรษฐี พระสารีบุตรแสดงแก่อนาถบิณฑิกเศรษฐี ผู้กำลังป่วยหนัก อยู่ที่บ้านในกรุงสาวัตถี ตามที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีอาราธนา เรื่อง อย่ายึดมั่นอายตนะภายใน 6 อายตนะภายนอก 6 วิญญาณ ผัสสะ เวทนา ธาตุ ขันธ์ อรูปฌาน โลกนี้ โลกหน้า และอารมณ์ที่รับรู้ทางอายตนะ 6 อนาถบิณฑิกเศรษฐีฟังธรรมแล้วได้ร้องไห้น้ำตาไหล เพราะได้รับใช้ใกล้ชิดพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์มานาน แต่ไม่เคยฟังธรรมบรรยายเช่นนี้มาก่อน พระสารีบุตรกล่าวว่าธรรมเหล่านี้แสดงแก่บรรพชิต ไม่แสดงแก่คฤหัสถ์ ท่านเศรษฐีจึงขอร้องให้แสดงแก่คฤหัสถ์ด้วย เมื่อพระสารีบุตรกลับไป อนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ถึงแก่กรรมไปเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิต เป็นอนาถบิณฑิกเทพบุตรและได้มาเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ได้กราบทูลว่า พระวิหารเชตวันนี้มีประโยชน์เพราะได้เป็นที่พักอาศัยให้แก่สงฆ์ และมีพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ยังให้เกิดปีติแก่ตัวอนาถบิณฑิกเทพบุตร และกล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยธรรม 5 อย่างนี้ คือ การงาน วิชชา ธรรม ศีล ชีวิตอันสูงสุด ไม่ใช่ด้วยโคตรหรือด้วยทรัพย์ และอนาถบิณฑิกเทพบุตรได้กล่าวสรรเสริญพระสารีบุตรว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยปัญญา ด้วยศีล และด้วยความสงบ ภิกษุผู้ถึงความบริสุทธิ์แล้วจะดียิ่งก็ต้องเป็นเช่นพระสารีบุตร
‘ดูกรวิสาขะ ธรรมทินนาภิกษุณีเป็นบัณฑิต มีปัญญามาก แม้หาก ท่านพึงสอบถามเนื้อความนั้นกะเรา แม้เราก็พึงพยากรณ์เนื้อความนั้น เหมือนที่ธรรมทินนาภิกษุณี พยากรณ์แล้ว เนื้อความแห่งพยากรณ์นั้นเป็นดังนั้นนั่นแล ท่านพึงทรงจำไว้อย่างนั้นเถิด.’
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
สูตร#1 เสลสูตร พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในแคว้นอังคุตตราปะ พร้อมกับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ 1,250รูป เสด็จถึงนิคมของชาวอังคุตตราปะชื่ออาปณะ ชฎิลชื่อเกณิยะได้ทราบข่าวว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมา จึงไปเข้าเฝ้าและนิมนต์เสวยภัตตาหาร ทรงรับนิมนต์ เมื่อเกณิยะกลับมาถึงเรือนได้ให้ญาติสาโลหิต ช่วยกันเตรียมสถานที่และอาหารเพื่อถวายในวันพรุ่งนี้ ขณะนั้นเสลพราหมณ์พร้อมด้วยบริวารเดินเที่ยวเล่นอยู่ ซึ่งเกณิยชฏิลมีความเลื่อมใสในเสลพราหมณ์อย่างมาก เลสพราหมณ์เห็นว่าที่บ้านเกณิยชฏิลมีการตระเตรียมงาน จึงเข้าไปทักทายสอบถาม ได้รับคำตอบว่า พรุ่งนี้จะถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้าและภิกษุจำนวน 1,250 รูป และได้กล่าวสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้าให้เลสพราหมณ์ฟัง เมื่อเสลพราหมณ์ได้ยินบทว่า“พุทธะ”เกิดความสนใจจึงได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค และได้เห็นลักษณะมหาบุรุษ 32 ประการตามที่กล่าวไว้ในมนต์ของพวกพราหมณ์ ได้สอบถามธรรมได้ฟังธรรมแล้วเกิดความเลื่อมใสขอบวชในวันนั้น พร้อมกับบริวาร ต่อมาท่านพระเสละพร้อมด้วยภิกษุผู้เป็นบริวารมีความเพียรฝึกฝนตนสำเร็จ ใช้เวลา 7วัน ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
สูตร#2 กินติสูตร ทรงแสดงแก่ภิกษุ ปรารภความคิดเห็นของภิกษุที่มีต่อพระองค์ และทรงอธิบายถึงวิธีการปฏิบัติที่เมื่อมีการขัดแย้งกันเกิดขึ้นในหมู่ภิกษุ ให้กำหนดเนื้อความให้ดี แล้วเข้าไปหาคนที่ว่าง่าย และทิฏฐิน้อยที่สุด ให้คิดว่าการลำบากจากการบอกเป็นเรื่องเล็กน้อย แล้วจึงบอกสอนชี้แจงอย่างมีเหตุผลโดยไม่ยกตนข่มผู้อื่น
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
สูตร#1 มหาเวทัลลสูตร เป็นการสนทนาธรรมระหว่างท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโกฏฐิกะ(หรือมหาโกฏฐิตะ) ขณะพักอยู่ ณ พระเซตวัน อารามของอนาถบินฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ท่านมหาโกฏฐิตะออกจากที่หลีกเร้นในเวลาเย็น ได้เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรเพื่อถามปัญหา เรื่องที่ท่านถามมี 6 เรื่อง คือ 1.เรื่องปัญญากับวิญญาณ 2. เรื่องเวทนาสัญญาและวิญญาณ 3. เรื่องประโยชน์แห่งปัญญาและเหตุเกิดสัมมาทิฏฐิ 4. เรื่องภพและฌาน 5.เรื่องอินทรีย์ ๕ 6. เรื่องปัจจัยเจโตวิมุตติ ซึ่งท่านมหาโกฏฐิตะกล่าวชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระสารีบุตร
สูตร#2 นฬกลาปิยสูตร ท่านพระมหาโกฏฐิตะถามท่านพระสารีบุตรเกี่ยวกับองค์ปฏิจจสมุปบาททั้ง 12 และท่านพระสารีบุตรได้เปรียบเทียบระหว่างนามรูปกับวิญญาณให้ท่านพระมหาโกฏฐิตะฟังว่าเปรียบเหมือนไม้อ้อ 2 กำพิงกัน สามารถตั้งอยู่ได้เพราะอาศัยกันและกัน และไร่เรียงปฏิจจสมุปบาทไปตามลำดับทั้งสายเกิดและสายดับ และกล่าวต่อไปว่าถ้าภิกษุแสดงธรรมเพื่อความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด เพื่อดับชราและมรณะ ชาติ ภพ ฯลฯ อวิชชา นี้รียกว่า “พระธรรรมกถึก” ถ้าภิกษุปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด เพื่อดับอวิชชา นี้เรียกว่า “ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม” ถ้าภิกษุเป็นผู้หลุดพ้น เพราะความเบื่อหน่าย คลายกำหนัดไม่ถือมั่นอวิชชา นี้เรียกว่า “ผู้บรรลุนิพพานในปัจจุบัน”
สูตร#3 สีลวันตสูตร พระมหาโกฏฐิตะถามพระสารีบุตรว่า ภิกษุผู้มีศีล ผู้เป็นโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี หรืออรหันต์ ควรกระทำธรรมเหล่าไหนไว้ในใจโดยแยบคาย ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ภิกษุผู้มีศีล ผู้เป็นโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี หรือแม้อรหันต์ ควรกระทำอุปาทานขันธ์ 5 ไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นดังโรค ดังฝี ดังลูกศร เป็นความคับแค้น เป็นอาพาธ เป็นของแปรปรวน เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ เป็นของไม่ใช่ตัวตน เมื่อกระทำธรรมเหล่านี้ไว้ในใจโดยแยบคาย ดังนี้แล้ว ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตผล และภิกษุผู้เป็นอรหันต์ ผู้ไม่มีกิจที่จะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไป ธรรมเหล่านี้ภิกษุผู้เป็นอรหันต์เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว เป็นไปเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบันและเพื่อสติสัมปชัญญะ
สูตร#4 มหาโกฏฐิตสูตร พระมหาโกฏฐิตะถามพระสารีบุตรเรื่องผัสสายตนะ 6 ดับ ซึ่งท่านพระสารีบุตรได้ตอบว่า เมื่อบุคคลกล่าวว่า ‘เพราะผัสสายตนะดับไปไม่เหลือด้วยวิราคะ อะไรอื่นยังมีอยู่หรือ ฯลฯ ชื่อว่าคิดปรุงแต่งสิ่งที่ไม่ ควรคิดปรุงแต่ง ดังนั้น ปปัญจธรรม(สิ่งที่คิดปรุงแต่ง) ย่อมดำเนินไปตราบเท่าที่ผัสสายตนะดำเนินไป ผัสสายตนะก็ดำเนินไปตราบเท่าที่ปปัญจธรรมดำเนินไป เพราะผัสสายตนะดับไปไม่เหลือด้วยวิราคะ ปปัญจธรรมจึงดับสนิท ระงับไป
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
สูตร#1 พรหมนิมันตนิกสูตร ทรงตรัสเล่าให้ภิกษุทั้งหลายฟัง ณ พระเชตวัน ทรงปรารภทิฏฐิชั่วของท้าวพกพรหม ทรงทราบด้วยพระทัยว่า ท้าวพกพรหมมีทิฏฐิชั่ว กล่าวสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง สิ่งที่ไม่ยั่งยืนว่ายั่งยืน เป็นต้น จึงทรงเสด็จขึ้นไปยังพรหมโลก และได้โต้วาทะกัน ขณะนั้น มารใจบาปได้เข้าสิงในพรหมปาริสัชชะองค์หนึ่งให้กล่าวห้ามมิให้พระองค์ว่ากล่าวท้าวพกพรหม พร้อมทั้งขู่สำทับ แต่ทรงรู้ทันว่าเป็นมาร พรหมและพรหมบริษัททั้งปวงตกอยู่ในอำนาจของมารแต่พระองค์มิได้อยู่ในอำนาจนั้น ได้ทรงสำแดงพุทธานุภาพไม่ให้พกพรหมหายตัวได้ แต่ทรงแสดงหายตัวให้ดู และมารได้เข้าสิงพรหมอีกองค์หนึ่งเพื่อห้ามไม่ให้พระองค์ทรงสอนธรรมแก่สาวก และขู่สำทับแต่ทรงตรัสว่า ทรงรู้จักมารดี พระองค์จะสอนหรือไม่สอนก็ไม่ทำให้พระองค์ดีขึ้นหรือเลวลงเพราะทรงตัดอาสวะได้ขาดแล้ว ตัดรากถอนโคนเหมือนต้นตาลที่ถูกตัดรากถอนโคนไปแล้วเหลือแต่พื้นที่ ทำให้ไม่มี เกิดขึ้นต่อไปไม่ได้
สูตร#2 มารตัชชนียสูตร พระมหาโมคคัลลานะแสดงแก่มารที่เข้าสิงในท้องท่าน ขณะเดินจงกรม ณ เภสกฬาวัน สมัยนั้นพระมหาโมคคัลลานะจงกรมอยู่ ถูกมารเข้าไปในท้องในไส้ รู้สึกเหมือนมีของหนักอยู่ในท้อง จึงหยุดจงกรม กลับไปยังวิหาร นั่งพิจารณาแล้ว ทราบว่า มารใจบาปเข้าไปสิงอยู่ จึงเรียกให้มารออกมา เมื่อมารนั้นออกมาท่านจึงเทศน์สอน ได้ลำดับญาติระหว่างท่านกับมารตนนี้ให้ฟังว่า มารนี้เป็นลูกของน้องสาวและเล่าอดีตของท่านที่เคยเกิดเป็นทูสีมารได้เคยทำร้ายพระอริยสาวกต้องไปตกนรกถูกหลาวแทงหลายพันปี หลายหมื่นปี ท่านขอให้มารนั้นอย่าทำร้ายพระอริยสาวกเพราะจะส่งผลให้ไปตกนรกเหมือนที่ท่านได้รับมาแล้ว มารนั้นรู้สึกเสียใจ แล้วหายตัวไป
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
สูตร#1 ลฑุกิโกปมสูตร ทรงแสดงแก่ท่านพระอุทายี ขณะประทับอยู่ในอาปณนิคมของชาวอังคุตราปะ โดยท่านพระอุทายีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคและกราบทูลว่า เมื่อก่อนท่านฉันทั้งในวลาเย็น เวลาเช้า เวลาหลังเที่ยง ต่อมา ทรงรับสั่งให้เลิกฉันในเวลาเย็นและเวลาหลังเที่ยง ท่านน้อยใจ เสียใจ แต่ก็ยังปฏิบัติตามเพราะความรัก ความเคารพ ความละอายและความยำเกรงในพระผู้มีพระกาค ต่อมาได้เห็นโทษในการฉันเวลาเย็นและวลาหลังเที่ยงด้วยตนเอง จึงได้รู้ว่า ทรงกำจัดธรรมอันเป็นหตุแห่งทุกข์ ทรงนำธรรมอันเป็นเหตุแห่งสุขเป็นอันมากมาให้ ทรงกำจัดอกุศลธรรม ทรงนำกุกุศลธรรมมาให้ แล้วทรงตรัสว่า ที่เป็นเช่นนั้น เพราะในธรรมวินัยนี้ มีบุคคลหลายจำพวกที่คิดว่า พระวินัยบัญบัญญัติของพระองค์เป็นเรื่องเล็กน้อยไม่สำคัญอะไร ซึ่งความจริงไม่ใช่เรื่องล็กน้อย แล้วทรงแสดงบุคคล 4 จำพวกเปรียบเทียบกับอุปมา 4 ข้อ ทรงชี้ให้เห็นประโยชน์ของการปฏิบัติตามคำสอนและโทษที่ไม่ปฏิบัติตาม คือผู้มีความยำเกรงในพระองค์ แต่ไม่ยอมแก้ไขความผิดที่มีอยู่ ย่อมไม่พ้นจากความผิดนั้น ส่วนผู้ไม่มีความยำเกรงในพระองค์แต่ยอมสละความผิดเสีย ย่อมพ้นผิดได้
สูตร#2 จาตุมสูตร ทรงแสดงแก่ภิกษุประมาณ 500 รูป ณ อามลกีวัน หมู่บ้านจาตุมาซึ่งเป็นหมู่บ้านของชาวศากยะ แคว้นสักกะ โดยทรงประสงค์ให้รู้มารยาทในการอยู่ร่วมกันและรู้จักระวังภัยของผู้บวชใหม่ สมัยนั้น ภิกษุประมาณ 500 รูป ซึ่งติดตามท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะมาเข้าเฝ้าพระองค์ ภิกษุเหล่านั้นสนทนากับภิกษุเจ้าถิ่นส่งเสียงดังอื้ออึง จึงทรงตรัสเรียกมาและขับไล่ภิกษุเหล่านั้นไป แต่พวกเจ้าศากยะชาวบ้านจาตุมา และท้าวสหัมบดีพรหมทราบเรื่อง จึงเข้าเฝ้ากราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงอนุเคราะห์ภิกษุเหล่านั้น เพราะบางรูปเป็นภิกษุใหม่ เมื่อไม่ได้เข้าเฝ้าก็จะแปรผันไป เหมือนพืชอ่อนขาดน้ำ หรือเหมือนลูกโคอ่อนไม่เห็นแม่ เมื่อทรงสดับอุปมาที่ชาวบ้านจาตุมาและท้าวสหัมบดีพรหมกราบทูลก็ทรงพอพระทัย ท่านพระมหาโมคคัลลานะจึงพาภิกษุทั้งหลายเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค และได้ทรงตรัสรับรองว่า พระองค์ ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะเท่านั้นควรบริหารภิกษุสงฆ์ จากนั้นทรงแสดงภัยของผู้บวชใหม่ 4 ประการ
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
สูตร#1 โคปกโมคคัลลานสูตร ท่านพระอานนท์แสดงแก่โคปกโมคคัลลานพราหมณ์ที่ทำหน้าที่ดูแลกิจการงานของพระเจ้าพิมพิสาร เกี่ยวกับปศุสัตว์ ณ ที่ทำงานของพราหมณ์ในกรุงราชคฤห์ หลังพุทธปรินิพพานไม่นาน เพื่อตอบปัญหาเรื่องภิกษุเพื่อเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า เป็นการถามด้วยความห่วงใย ซึ่งต่อมามีวัสสการพราหมณ์ มหาอำมาตย์แห่งแคว้นมคธมาสมทบและได้ถามถึงเรื่องฌาณ ซึ่งท่านพระอานนท์ได้ตอบให้เข้าใจชัดเจนตามลำดับว่า พระผู้มีพระภาคทรงสอนให้ภิกษุนับถือธรรมเท่านั้นเป็นที่พึ่ง และถ้าบุคคลใดมีธรรม 10 ประการนี้ สงฆ์ก็สักการะ เคารพ นับถือ บูชาบุคคลนั้น เรื่องฌาณกล่าวตอบว่า ฌาณที่ไม่ทรงสรรเสริญ ได้แก่ ฌาณที่ประกอบด้วยนิวรณ์ 5 ส่วนฌาณที่ทรงสรรเสริญได้แก่ ฌาณที่สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย พราหมณ์ทั้งสองต่างชื่นชมยินดีคำตอบของท่านพระอานนท์
สูตร#2 คณกโมคคัลลานสูตร พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่คณกโมคคัลลานพราหมณ์ ณ เชตวัน โดยตั้งประเด็นการสนทนาถึงการฝึก การปฏิบัติ ที่เป็นไปตามลำดับขั้น ซึ่งในศาสนาของพระองค์ก็มีการฝึกปฏิบัติไปตามลำดับขั้น เมื่อโมคคัลลานะพราหมณ์ฟังจบ ได้ประกาศตนเป็นอุบาสก ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะไปตลอดชีวิต
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
สูตร#1 ธนัญชานิสูตร ว่าด้วยพราหมณ์ชื่อธนัญชานิ ผู้ประพฤติมิชอบด้วยการเบียดบังพระราชา และเบียดเบียนประชาชน เมื่อท่านพระสารีบุตรทราบว่าธนัญชานิพราหมณ์เป็นผู้ประมาท ท่านได้ไปโปรดเตือนสติ และแสดงธรรมให้ฟัง ณ ที่โคนไม้แห่งหนึ่งใกล้ประตูกรุงราชคฤห์ เพื่อให้ธนัญชานิพราหมณ์เลิกประพฤติอธรรม (ผิดศีล) ซึ่งธนัญชานิพรามณ์ได้อ้างเหตุแห่งความประมาทว่าเพราะต้องดูแล รับใช้ เลี้ยงดู บิดา มารดา ภรรยาบุตร ทาส กรรมกร คนรับใช้ มิตร อำมาตย์ ญาติ แขก ปุพเปตชน เทวดา พระราชา และต้องทำนุบำรุงกายตน จึงได้เตือนสติว่า เมื่อบุคคลประพฤติไม่ชอบธรรม ประพฤติผิดธรรมไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด ๆ ย่อมไปยังนรกเป็นผู้ไม่ประเสริฐ ส่วนผู้ประพฤติชอบธรรม ประพฤติถูกธรรม ไม่ว่าเพราะเหตุใด ๆ เป็นผู้ประเสริฐ และการทำงานที่มีเหตุประกอบด้วยธรรม เป็นเครื่องให้บุคคลเลี้ยงตนและคนอื่นๆได้ โดยไม่ทำบาปกรรม และปฏิบัติตามข้อปฏิบัติที่เป็นบุญได้ ก็มีอยู่ ธนัญชานิมีใจชื่นชมยินดีภาษิตของพระสารีบุตร
สมัยต่อมาเมื่อธนัญชานิพราหมณ์ป่วยหนัก พระสารีบุตรได้มาแสดงธรรมให้ฟังโดยถามถึงความประเสริฐของทุคติภูมิและสุคติภูมิและถามขึ้นไปตามลำดับ โดยเริ่มจากนรกจนถึงพรหมโลก จนธนัญชานิพราหมณ์เห็นว่า พรหมโลกประเสริฐที่สุด จึงได้แสดงทางเพื่อเข้าถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพรหม เมื่อท่านแสดงธรรมจบแล้วจากไปไม่นาน ธนัญชานิก็ตายไปบังเกิดในพรหมโลก
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามเหตุผลว่า เหตุที่พระสารีบุตรไม่แสดงธรรมให้พราหมณ์บรรลุมรรคผล เพราะพวกพราหมณ์มักน้อมใจไปเกิดในพรหมโลก ซึ่งพระพุทธเจ้าจึงตรัสรับรองว่าธนัญชานิพราหมณ์ไปเกิดในพรหมโลกแล้ว
สูตร#2 สุสิมสูตร เรื่องเกิดขึ้นที่กรุงสาวัตถี ขณะนั้นพระพุทธเจ้าและท่านพระอานนท์กำลังกล่าวสรรเสริญท่านพระสารีบุตร สุสิมเทพบุตรผู้มีเทพบุตรบริษัทจำนวนมากได้เข้ามาเฝ้าพระผู้มีพระภาคและได้กล่าวสรรเสริญท่านพระสารีบุตรด้วย
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
สูตร#1 จูฬสกุลุทายิสูตร ทรงแสดงแก่ปริพาชกชื่อสกุลุทายีพร้อมด้วยปริพาชกบริษัทหมู่
ใหญ่อาศัยอยู่ในอารามของปริพาชกอันเป็นที่ให้เหยื่อแก่นกยูง เขตกรุงราชคฤห์ ทรงปรารภคำถามของสกุลุทายี เรื่องปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอดีตและขันธ์ส่วนอนาคต ซึ่งอุทายีเคยถามคำถามนี้กับนิครนถ์ นาฏบุตร แต่ไม่เคยได้รับคำตอบ ทรงตรัสว่าให้อุทายีงดเรื่องนี้ไว้ก่อน แต่จะทรงแสดงธรรม ‘ เมื่อเหตุนี้มี ผลจึงมี เพราะเหตุนี้เกิด ผลจึงเกิด เมื่อเหตุนี้ไม่มี ผลนี้จึงไม่มี เพราะเหตุนี้ดับ ผลนี้จึงดับ ‘ แล้วทรงตรัสถาม เรื่องลัทธิอาจารย์ของตน ได้แก่เรื่องวรรณะ , ปัญหาเรื่องโลกที่มีสุขโดยส่วนเดียว ว่ามีรายละเอียดอย่างไร เมื่ออุทายีตอบ ก็ทรงซักไซร้ไล่เลียง เพื่อทำความเข้าใจว่า ส่วนที่ถูกต้องเป็นอย่างไร จากนั้นทรงอธิบายไล่เลียงไปตามลำดับคือ ฌาน 4 และวิชชา 3 ซึ่งเป็นธรรมที่ปราณีตกว่า ที่ภิกษุที่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระองค์ มุ่งจะทำให้แจ้ง เมื่อทรงตรัสจบ สกุลุทายีได้ขอบวช แต่ถูกลูกศิษย์ในบริษัทของตนกล่าวห้ามไว้ จึงทำให้สกุลุทายีไม่ได้ออกบวช ประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักของพระผู้มีพระภาค
สูตร#2 อนุปทสูตร ทรงแสดงแก่ภิกษุทั้งหลาย ขณะประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ทรงปรารภการบรรลุธรรมของท่านพระสารีบุตร ทรงสรรเสริญท่านสารีบุตรว่าเป็นผู้มีปัญญามาก สามารถบรรลุธรรมตามลำดับบทในระยะเวลาเพียงกึ่งเดือน และได้ทรงแสดงธรรมที่ท่านสารีบุตรได้เห็นแจ้งตามลำดับบท และผู้กล่าวชอบ พึงกล่าวชมว่าพระสารีบุตรเป็นผู้ถึงความชำนาญ ถึงความสำเร็จในอริยศีล ในอริยสมาธิ ในอริยปัญญา ในอริยวิมุติ และเป็นบุตรของพระผู้มีพระภาค เกิดแต่พระโอฐของพระผู้มีพระภาค เกิดแต่ธรรม อันธรรมเนรมิต เป็นธรรมทายาท ไม่ใช่เป็นทายาทของอามิส ท่านสารีบุตรย่อมประกาศธรรมจักร อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าที่พระผู้มีพระภาคให้เป็นไปแล้ว ไปตามลำดับโดยชอบ
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
สูตร#1 ภูมิจาลสูตร ทรงแสดงแก่ท่านพระอานนท์ ณ ปาวลเจดีย์ เมืองเวสาลี ทรงตรัสแสดงเรื่องอิทธิบาท 4 ที่เมื่อเจริญ ทำให้มากแล้ว ผู้นั้นเมื่อมุ่งหวังจะดำรงอยู่ 1 กัปหรือเกินกว่า 1 กัปได้ ทรงทำนิมิตที่ชัดแจ้งอย่างนี้ถึง 3 ครั้ง เพื่อให้พระอานนท์กราบทูลวิงวอนให้พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ตลอดกัป แต่ท่านพระอานนท์ไม่อาจรู้ทันจึงไม่กราบทูลวิงวอน ได้ถวายอภิวาทแล้วหลีกไปนั่งใต้ต้นไม้ที่ไม่ไกลนั้น ลำดับนั้นมารผู้มีบาปได้เข้ามากราบทูลว่าเวลานี้เป็นเวลาปรินิพพานตามที่ได้เคยทรงตรัสไว้แล้ว ตรัสตอบมารว่า จะทรงปรินิพพานจากนี้ไปอีก 3 เดือน เมื่อทรงปลงอายุสังขารแล้ว ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ น่าสะพรึงกลัว ฯลฯ ท่านพระอานนท์ได้ไปเข้าเฝ้า และกราบทูลเรื่องแผ่นดินไหวครั้งใหญ่นี้รุนแรงจริงๆ ทรงตรัสตอบว่า มีเหตุปัจจัย 8 ประการที่ทำให้แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง
1. เกิดจากธาตุไม่สมดุล หรือ ชนกัน (ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม)
2. ผู้มีฤทธิ์บันดาล (เทวดา-มนุษย์)
3. พระพุทธเจ้าลงจากสวรรค์ชั้นดุสิตมาสู่ครรภ์พระมารดา
4. พระพุทธเจ้าประสูติ (สวนลุมพินีวัน กรุงกบิลพัสดุ์ )
5. พระพุทธเจ้าตรัสรู้ (ใต้ต้นโพธิ์ ณ ตำบลอุรุเวลา แคว้นมคธ)
6. พระพุทธเจ้าแสดงธรรมจักร (แสดงแก่ปัญจวัคคีย์ ป่าอิสิปตน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ)
7. พระพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร (ณ เมืองปาวาลเจดีย์ เมืองเวสาลี)
8. พระพุทธเจ้าปรินิพพาน (ใต้ต้นสาละคู่ เมืองกุสินารา)
สูตร#2 ปุพพสูตร ทรงแสดงแก่ภิกษุทั้งหลาย ณ กรุงเวสาลี ทรงปรารภเหตุปัจจัยแห่งการเจริญอิทธิบาท 4 ซึ่งเมื่อเจริญ ทำให้มาก ย่อมแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง และทำให้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันไม่มีอาสวะ เพราะอาสวะสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน
สูตร#3 วิภังคสูตร (พระไตรปิฏก เล่มที่ ๑๙) วิธีเจริญอิทธิบาท 4 ทรงแสดงแก่ภิกษุทั้งหลาย อันภิกษุเมื่อเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก แล้วทรงแสดงในรายละเอียด
สูตร#4 โมคคัลลานสูตร (พระไตรปิฏก เล่มที่ ๑๙) พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปราสาทของมิคารมารดา ในบุพพาราม ใกล้พระนครสาวัตถี ซึ่งมีภิกษุมากรูป ที่อยู่ภายใต้ปราสาทของมิคารมารดา เป็นผู้ฟุ้งซ่าน อวดตัว มีจิตกวัดแกว่ง ปากกล้า พูดจาอื้อฉาว ลืมสติ ไม่มีสัมปชัญญะ มีจิตไม่ตั้งมั่น คิดจะสึก ไม่สำรวมอินทรีย์ ทรงตรัสเรียกท่านพระมหาโมคคัลลานะมา แล้วทรงรับสั่งให้กระทำให้ภิกษุเหล่านั้น ให้รู้สึกสังเวชใจ พระโมคัลลานะรับพระดำรัสแล้ว จึงแสดงอิทธาภิสังขาร ให้ปราสาทของมิคารมารดา สะเทือนสะท้านหวั่นไหว ด้วยนิ้วหัวแม่เท้า ทำให้ภิกษุเหล่านั้นเกิดความสลดใจ ขนพองสยองเกล้า และทรงตรัสว่า พระโมคคัลานะมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เพราะ ได้เจริญ ได้กระทำให้มากซึ่งอิทธิบาท 4 พระโมคคัลลานะย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะ มิได้ เพราะอาสวะ ทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่
สูตร#5 จูฬตัณหาสังขยสูตร ตอนพระมหาโมคคัลลานะทดสอบท้าวสักกะ
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
สูตร#1 อิฏฐสูตร พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแก่อนาถบิณฑิกคฤหบดี ว่าด้วยธรรมที่น่าปรารถนา 5 ประการ ที่หาได้ยากในโลก ที่จะได้ด้วยการกระทำ การปฏิบัติ และปฏิปทาที่ถูกต้อง ไม่ได้ด้วยการอ้อนวอนร้องขอ เพราะเหตุแห่งความปรารถนานั้น
สูตร#2 จูฬกัมมวิภังคสูตร พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแก่สุภมาณพ โตเทยยบุตร เพื่อทรงตอบปัญหาของ สุภมาณพ ว่าเหตุปัจจัยที่ทำให้มนุษย์เกิดมาทราม และประณีตต่างกัน เป็นเพราะมีข้อปฏิบัติ และปฏิปทาที่แตกต่างกัน
สูตร#3 ทักขิณาวิภังคสูตร พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแก่พระอานนท์ โดยปรารภการถวายทานของพระนางปชาบดีโคตมี โดยทรงแสดงทาน 2 ประเภท และความบริสุทธิ์แห่งทักษิณา 4 ประการ และทรงยกย่องอานิสงส์ของการให้กับหมู่สงฆ์มีมากกว่าให้กับบุคคล
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
สูตร#1 สมณมุณฑิกสูตร ทรงแสดงแก่ช่างไม้ชื่อปัญจกังคะ ณ พระเชตวัน ทรงปรารภข้อบัญญัติเรื่องคุณสมบัติของผู้เป็นสมณะของอุคคาหมานปริพาชก ซึ่งช่างไม้ปัญจกังคะนำเข้าไปกราบทูลให้ทรงทราบ ซึ่งอุคคาหมานะกล่าวถึงข้อบัญญัติของตนว่า บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 4 ประการเป็นผู้มีกุศลเพียบพร้อม มีกุศลยอดเยี่ยม เป็นสมณะผู้บรรลุธรรมขั้นสูงที่ควรบรรลุ ไม่มีใครสู้วาทะได้ ธรรม 4 ประการคือ ไม่ทำกรรมชั่วทางกาย ทางวาจา ไม่ดำริความดำริชั่ว และไม่ประกอบอาชีพชั่ว ทรงตรัสว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เด็กอ่อนที่ไม่รู้จักกรรมชั่ว ไม่เคยทำกรรมชั่วก็จะกลายเป็นผู้มีกุศลเพียบพร้อม ทรงไม่ยอมรับการบัญญัติเช่นนั้น แล้วทรงแสดงเสขธรรม(ธรรมสำหรับผู้เป็นพระเสขะ) คือ ความรู้เรื่องศีล และความดำริ ทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล พร้อมทั้งสมุฏฐานความดับและข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งศีลและดำริ และอเสขธรรม ( ธรรมของพระอเสขะ) คือ อเสขธรรม 10 ประการ
สูตร#2 โจทนาสูตร ท่านพระสารีบุตรแสดงแก่ภิกษุทั้งหลาย ว่าด้วยคุณสมบัติของผู้เป็นโจทก์ แสดงว่า ภิกษุผู้เป็นโจทก์ควรมีธรรม 5 ประการ เพื่อไม่ให้มีวิปปฏิสาร(ความเดือดร้อนใจ) แก่ทั้งผู้โจทก์และผู้ถูกโจทก์ ธรรม 5 ประการได้แก่ กล่าวในกาลอันควร กล่าวถ้อยคำจริง กล่าวถ้อยคำอ่อนหวาน กล่าวถ้อยคำมีประโยชน์ และกล่าวด้วยเมตตาจิต
สูตร#3 วุฏฐิสูตร ว่าด้วยการบันลือสีหนาทของท่านพระสารีบุตร พระพุทธเจ้าขณะประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ภิกษุรูปหนึ่งกราบทูลว่าท่านพระสารีบุตรกระทบตนแล้วไม่ขอโทษก่อนจาริกไป จึงรับสั่งให้ตามท่านพระสารีบุตรมา ระหว่างนั้น พระมหาโมคคัลลานะและพระอานนท์ได้ป่าวประกาศเชิญชวนให้คนไปฟังท่านพระสารีบุตรบันลือสีหนาท ณ เบื้องพระพักตร์ พระสารีบุตรบันลือสีหนาทว่า ภิกษุที่ไม่ตั้งกายคตาสติไว้ในกายเท่านั้นที่กระทบเพื่อนพรหมจารีแล้วไม่ขอโทษก่อนจากไป แต่ท่านไม่มีความประพฤติเช่นนั้น และได้ยกอุปมาอุปมัยเปรียบเทียบการวางจิตของท่าน เมื่อแสดงธรรมจบ ภิกษุรูปนั้นรู้ว่าตนผิดจึงกราบขอโทษท่านพระสารีบุตร
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
สูตร#1 มหาปุณณมสูตร ทรงแสดงแก่ภิกษุทั้งหลาย ณ บุพพาราม ในวันอุโบสถขึ้น 15 ค่ำ ทรงประทานโอกาสให้ภิกษุถามปัญหาข้อธรรม ภิกษุได้ถามเกี่ยวกับอุปาทานขันธ์ 5 แล้วทรงตรัสตอบอย่างย่อๆ ทำให้ภิกษุที่ถามพอใจในคำตอบ แต่มีภิกษุรูปหนึ่งยังสงสัยในเรื่องขันธ์ 5 เป็นอนัตตา เพราะเหตุนั้นกรรมที่ถูกอนัตตากระทำ จะถูกต้องอัตตาได้อย่างไร แต่ไม่กล้าถาม พระพุทธเจ้าทรงทราบความคิดของภิกษุนั้นด้วยใจ ทรงตรัสว่าเป็นโมฆะบุรุษ จึงทรงสอบถามความเข้าใจในธรรมนั้นกับภิกษุทั้งหลายอีกครั้งหนึ่ง เมื่อตรัสจบมีภิกษุบรรลุเป็นพระอรหันต์จำนวน 60 รูป
สูตร#2 มหาหัตถิปโทปมสูตร อุปมาว่าด้วยรอยเท้าช้าง สูตรใหญ่ ท่านพระสารีบุตรแสดงแก่ภิกษุ ขณะพักอยู่เชตวัน ท่านได้อธิบายอริยสัจ 4 โดยเอานัยยะของธาตุทั้ง 4 มาเป็นตัวแปร แต่อธิบายรายละเอียดเฉพาะทุกขอริยสัจเท่านั้น และในตอนท้ายพระสูตรมีเรื่องของปฏิจจสมุปบาท อธิบายเพื่อให้ข้อธรรมทั้งหมดรวมลงในอริยสัจ 4 เหมือนรอยเท้าของสัตว์ทั้งหลาย รวมลงในรอยเท้าช้าง
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
สูตร#1 พหุธาตุกสูตร ทรงแสดงแก่ภิกษุทั้งหลาย ณ พระเชตวัน ทรงตรัสว่า ภัย อุปัททวะ และอุปสรรคล้วนเกิดจากคนพาลมิใช่เกิดจากบัณฑิต เหมือนไฟที่ลุกไหม้จากเรือนไม้อ้อ ไหม้เรือนยอดที่มีประตูหน้าต่างปิดสนิทได้ฉะนั้น ท่านพระอานนท์ทูลถามว่า ด้วยเหตุเท่าไร จึงสมควรเรียกว่าภิกษุผู้เป็นบัณฑิต ตรัสตอบว่า เพราะเป็นผู้ฉลาดในธาตุ เป็นผู้ฉลาดในอายตนะ เป็นผู้ฉลาดในปฏิจจสมุปบาท และเป็นผู้ฉลาดในฐานะ อฐานะ จากนั้นทรงจำแนกธรรมเหล่านี้โดยละเอียด
สูตร#2 สฬายตนวิภังคสูตร ว่าด้วยการจำแนกอายตนะ 6 ประการ ทรงแสดงแก่ภิกษุทั้งหลาย ขณะประทับอยู่พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี โดยมีพระประสงค์ให้ ภิกษุได้ศึกษาเรื่องอายตนะโดยละเอียดลึกซึ้ง ทรงตรัสอธิบาย เรื่อง อายตนะภายใน 6, อายตนะภายนอก 6, หมวดวิญญาณ 6, หมวดผัสสะ 6, มโนปวิจาร 18, สัตตบท 36 และสติปัฏฐาน 3
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
สูตร#1 กกจูปมสูตร ทรงแสดงแก่ภิกษุทั้งหลาย ณ พระเชตวัน ปรารภความประพฤติของพระโมลิยผัคคุนะที่มักโกรธและก่ออธิกรณ์ขึ้นเมื่อมีภิกษุบางรูปตำหนิภิกษุณีหรือตำหนิท่าน จึงทรงรับสั่งให้มาเฝ้าและทรงตรัสสอนให้ละความโกรธให้เป็นผู้มีเมตตาจิต ไม่มีโทสะ และให้เป็นคนว่าง่าย ทรงยกกรณีนี้ตรัสสอนภิกษุทั้งหลายและยกอุปมาขึ้นหลายประการ คือทรงตรัสเรื่องประโยชน์ของการฉันอาหารมื้อเดียว ตรัสเล่าเรื่องนางเวเทหิกาที่บันดาลโทสะ ทรงสรุปว่าจะรู้ว่าภิกษุใดสงบเสงี่ยมหรือไม่ ก็ต่อเมื่อมีถ้อยคำที่ไม่น่าพอใจมากระทบ ทรงแนะนำอุบายระงับความโกรธและโอวาทอุปมาด้วยเลื่อย ที่เมื่อมีโจรใช้เลื่อยมาตัดอวัยวะน้อยใหญ่ของเราแล้ว ก็ให้อดกลั้น ไม่โกรธ แต่ให้กลับมีเมตตาจิตต่อผู้นั้นได้
สูตร#2 วัมมิกสูตร ว่าด้วยปริศนาจอมปลวก ทรงแสดงแก่พระกุมารกัสสปะ ณ พระเชตวัน ปรารภปัญหา 15 ข้อของเทวดา เนื่องด้วยมีเทวดาองค์หนึ่งเข้าไปหาท่านพระกุมารกัสสปะที่ป่าอันธวันเพื่อถามปริศนาธรรม 15 ข้อ และขอให้ท่านพระกุมารกัสสปะทูลถามปัญหา 15 ข้อนี้กับพระผู้มีพระภาค ซึ่งคำตอบจอมปลวกคือกายของมนุษย์ พราหมณ์ที่สั่งให้ขุดคือพระพุทธเจ้า สุเมธะคือชื่อของพระเสขะ ศาสตราที่ขุดคือปัญญา เป็นต้น
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.