Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ปฏิปทาอันยิ่งยวดอย่างหนึ่งใน “ทศบารมี” นั้นก็คือ “ขันติ” คือ ความอดทนอดกลั้น เป็นตบะแผดเผากิเลสอย่างยิ่ง เพราะไม่ว่าจะถูกกระทบกระทั่งด้วยสิ่งอันเป็นที่พึงปรารถนา หรือไม่พึงปรารถนาก็ตาม จะสามารถรักษาความเป็นปกติเอาไว้ได้ ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8 ย่อมทำคุณธรรม “ขันติ” ให้ปรากฏขึ้นเป็นของแจ่มแจ้งแก่ตนเองได้ด้วย “ปัญญา” และถ้าพิจารณากันให้ดี ๆ จะเห็นว่า คุณธรรมที่ทำให้มีความอดทนนั้น มีอยู่มากมาย จึงอาจกล่าวได้ว่า “ขันติ” ความอดทนคือทุกสิ่ง
ความอดทนแบ่งตามเหตุที่มากระทบ ได้แก่ อดทนต่อความลำบากตรากตรำ อดทนต่อทุกขเวทนาทางกายและทางใจ อดทนต่อกิเลส เปรียบความอดทนไว้กับทางไปสู่นิพพาน ถ้าคุณเจอสิ่งกระทบในระหว่างทาง คุณยังจะอดทนรักษามรรคไว้ได้อยู่ไหม? หรือจะเลือกเดินออกนอกมรรคไปไม่ถึงนิพพาน
ขันติแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. อธิวาสนขันติ คือ ยังมีอารมณ์โกรธอยู่ แต่อดกลั้นไว้ได้ ไม่แสดงสิ่งที่เป็นอกุศลทางกาย วาจา ใจ ออกไป
2. ตีติกขาขันติ คือ ปฏิบัติได้เป็นปกติใน ศีล สมาธิ และปัญญา เพราะผ่านการฝึกฝน ทำซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ อยู่บ่อย ๆ ในขั้น “อธิวาสนขันติ”
คุณธรรมความอดทน ตัวอย่างในเรื่องของท่านพระปุณณะ พระสารีบุตร และท้าวสักกะ เป็นคุณธรรมที่แสดงให้เห็นการบ่มอินทรีย์ พละ ศีล สมาธิ ปัญญา พรหมวิหาร
อานิสงส์ของความอดทน คือ ย่อมเป็นที่รักของคนเป็นอันมาก เป็นผู้ไม่มากด้วยเวรไม่มากด้วยโทษ เป็นผู้ไม่หลงกระทำกาละ ตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
พระพุทธเจ้าได้ทรงบอกสอนธรรมะไว้อย่างมากมาย การนำคำสอนไปปฏิบัติกับการศึกษาคำสอนนั้น เป็นคนละอย่างกัน พระพุทธเจ้าได้ทรงบอกสอนไว้อย่างรัดกุมหลายนัยยะ โดยการเปรียบเทียบอุปมาอุปไมยไว้หลายข้อธรรมดังนี้
1) อุปมาอุปไมยเรื่องทะเล พระพุทธเจ้าได้ทรงเปรียบเทียบไว้ถึง 8 ประการ ในที่นี้จะกล่าวถึงประการที่ว่า มหาสมุทรไม่อยู่รวมกับซากศพ เพราะคลื่นจะซัดเอาซากศพเข้าฝั่งเสมอ เปรียบเทียบกับการผู้ที่ทุศีล ปรารถนาลามก สุดท้ายจะถูกเปิดเผยทำให้อยู่ร่วมกับผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไม่ได้
2) อุปมาอุปไมยภิกษุกับนักรบอาชีพ 5 จำพวกคือ:
เปรียบเทียบภิกษุในธรรมวินัยนี้ต้องต่อสู้กับภัย 4 อย่างของผู้ออกบวชคือ 1) ภัยเพราะปลาร้ายคือผู้หญิง 2) ภัยเพราะจระเข้ คือเรื่องปากท้อง 3) ภัยเพราะคลื่น คือความเกิดความคับแค้น 4) ภัยเพราะน้ำวนคือข้องอยู่กับเรื่องกาม เช่น การที่ต้องดูแลครอบครัวสมบัติ หากหลีกพ้นจากภัยเหล่านี้ได้ก็จะยังเป็นภิกษุที่ยังครองตนอยู่ในธรรมวินัยของพุทธศาสนานี้ได้
3) อุปมาอุปไมย เรื่องหนู
ยังมีอุปมาที่คล้ายกับเรื่องหนูคือ พระพุทธเจ้าทรงเปรียบภิกษุทั้งหลายเหมือนเมฆ 4 ชนิด
4) อุปมาอุปไมย เรื่องหม้อและห้วงน้ำ
และยังมีอุปมาที่เปรียบเทียบกับห้วงน้ำที่คล้าย ๆ กันด้วย
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมไว้อย่างมากมายแสดงไว้อย่างดี รัดกุม รอบคอบ ไม่หละหลวม ในที่นี้จะนำธรรมมะที่กล่าวถึงวิธีคิดวิธีไตร่ตรองพิจารณาในแนวทางคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อนำทางแห่งความสุขในปัจจุบัน โดยจะนำธรรมะหลายหัวข้อมากล่าวดังนี้
ประการแรก เป็นธรรมง่ายๆย่อๆที่พระพุทธเจ้าบอกแก่นางโคตรมี กล่าวไว้ใน “โคตรมีสูตร” เป็นข้อธรรมที่นางโคตรมีจะนำไปปฏิบัติเมื่ออยู่คนเดียว หลักเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าให้ไว้คือ 1.ธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด 2.ธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อคลายความยึดถือ 3.ธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อความมักน้อย 4.ธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อความสันโดษ 5.ธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อความสงัด 6.ธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อความเพียร 7.ธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย 8.ธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย ลักษณะคำสอนของพระพุทธเจ้าต้องมีทั้ง 8 ประการนี้เป็นเกณฑ์ แต่ต้องไม่ยึดถือในหลักเกณฑ์ พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่ชาวกาลามโคตร ใน “เกสปุตตสูตร” ไว้ว่าอย่าได้ยึดถือโดยได้ยินได้ฟังมา, โดยอ้างตำรา, โดยคาดคะเน, โดยความตรึกตามอาการ แต่หลักการที่ถูกต้องให้ดูว่า กุศลเพิ่ม อกุศลลด หรือไม่
ประการที่สอง กล่าวถึงการพิจารณาถึงพิธีกรรมต่าง ๆ ที่ควร-ไม่ทำ โดยจะนำ “เตวิชชสูตร” มากล่าวโดยกล่าวถึงข้อปฏิบัติของพราหมณ์ที่จะให้ได้ไปอยู่กับพรหม ให้พิจารณาว่าพิธีกรรมที่ทำนั้นเป็นไปอย่างไร เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวร้อยรัดหรือไม่ จองเวรหรือไม่ เบียดเบียนผู้อื่นหรือไม่ เศร้าหมองหรือไม่ ฟุ้งซ่านหรือไม่ หากพิธีกรรมต่างๆเป็นไปเพื่อสิ่งเหล่านี้ก็ต้องเว้นการปฏิบัติเสีย
ประการที่สาม ข้อปฏิบัติอันใดที่เราควร-ไม่ควรกระทำ สูตรที่จะนำมากล่าวคือ “อนุมานสูตร” กล่าวถึงอุปกิเลส 16 ประการ ที่มาประกอบในการพิจารณาที่จะกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ พิจารณาถึงคนอื่น ว่าหากเราทำสิ่งไม่ดีกับบุคคลอื่น เขาคงจะไม่ชอบ แล้วมองกลับกันว่าหากเขาทำสิ่งนี้กับเรา เราก็คงจะไม่พอใจ ดังนั้นเราก็ต้องพิจารณาว่าเราไม่ควรทำอย่างนั้นกับคนอื่น พิจารณาที่ตัวเองว่าเรามีอกุศลธรรมเกิดขึ้นในใจตนหรือไม่ หากมีแล้วจะทำสิ่งที่เป็นอกุศลนั้นกับคนอื่น ก็จงรีบละมันเสีย
ประการที่สี่ วัฒนธรรมต่าง ๆ ที่ควร-ไม่ควรทำ นำหลักธรรมจาก สาเลยกสูตร มาพิจารณาเป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้าได้กล่าวกับชาวบ้านสาเลยกะ เกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติทาง กาย วาจา ใจ จะทำให้เข้าถึง อาบาย ทุคติ วินิบาตนรกหรือสุคติโลกสวรรค์ เกณฑ์ที่ท่านได้นำมาพิจารณาคือใช้เกณฑ์ความดีของวิญญูชน คนดีทั่ว ๆ ไปที่เขาเป็นกัน โดยนำเรื่องศีล ทิฐิความเห็นต่างมาพิจารณา ว่าสิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำ
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
เมื่อดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้นจะมีแสงสีเงิน แสงสีทอง มาให้เห็นก่อน เรียกว่ารุ่งอรุณ อุปไมยองค์ประกอบ 8 อย่างอันประเสริฐ (มรรค 8) จะเกิดขึ้นในจิตใจของผู้ใด สิ่งที่มาก่อนเป็นนิมิตให้เห็นในผู้นั้น คือ
1. เป็นผู้มีกัลยาณมิตร (กัลลยาณมิตตตา) นัยยะที่หนี่งคือเพื่อนผู้ที่จะนำความดีมาให้เป็นผู้ที่มีศีล มีศรัทธา มีจาคะและมีปัญญา นัยยะที่สองกัลยาณมิตรอาจจะเป็นครูอาจารย์ พระสงฆ์หรือผู้มีคุณงามความดีเป็นแบบอย่างที่ดี นัยยะที่สามเราอาจจะเอามรรคแปดเป็นกัลยาณมิตรก็ได้ยิ่งจะส่งเสริมให้เราอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องไม่ออกนอกเส้นทาง ในที่นี้จะกล่าวถึงคุณสมบัติของกัลยาณมิตร 7 ประการได้แก่
2. เป็นผู้มีความถึงพร้อมด้วยศีล (สีลสัมปทา) คือเป็นผู้มีศีลสมบูรณ์ ทำให้ศีลที่มีดีขึ้นเรื่อยๆ ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ
3. เป็นผู้มีความถึงพร้อมด้วยฉันทะ (ฉันทสัมปทา) คือเป็นผู้มีความพอใจมีแรงจูงใจที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีเป้าหมายที่ชัดเจนทำให้สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้
4. เป็นผู้มีความถึงพร้อมด้วยตน (อัตตสัมปทา) คือจิตของเราต้องมีการพัฒนาให้มีการถึงพร้อม
5. เป็นผู้มีความถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ (ทิฏฐิสัมปทา) คือมีทัศนคติมีความเชื่อที่ถึงพร้อม
6. เป็นผู้มีความถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท (อัปปมาทสัมปทา) คือเป็นผู้ไม่ขาดสติ มีสติกำกับจิตใจในการดำเนินชีวิต
7. เป็นผู้ที่รู้จักทำในใจอย่างแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) คือ ความเป็นผู้ฉลาดในการคิด คิดอย่างถูกวิธีถูกระบบ พิจารณา ไตร่ตรองสาวไปจนถึงสาเหตุหรือต้นตอของเรื่องที่กำลังคิด ในที่นี้จะเจาะจงลงในคำสอนของพระพุทธเจ้า
ธรรมทั้ง 7 ประการนี้แม้มีอันใดอันหนึ่ง เกิดขึ้นกับใคร ผู้ใดผู้หนึ่งให้มั่นใจได้เลยว่าเราจะไม่เดินออกนอกทางแห่งอริยมรรคมีองค์แปดแน่นอน เมื่อเดินตามทางแห่งมรรคแปดนี้อย่างต่อเนื่องไม่หยุดจะทำให้เราถึงที่หมายคือนิพพานได้ในเวลาไม่นาน
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ศรัทธาที่มีอาการประกอบไปด้วยเหตุผล จะทำให้เกิดการทำจริงแน่วแน่จริงในกุศลธรรมทั้งหลาย คิดใคร่ครวญเห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญา เป็นศรัทธาที่ประด้วยอาการของปัญญา “อาการวตีสัทธา”
ลักษณะของศรัทธาที่ประกอบไปด้วยอาการ “อาการวตีสัทธา”
1. มี 2 มิติ คือ
(1.1) ระดับสมมุติของโลก – ความจริง/ข้อเท็จจริง (fact / fake) สมมุติว่าจริง สมมุติว่าเท็จ
(1.2) ระดับเหนือสมมุติของโลก – สัจจะความจริงอันประเสริฐ (อริยสัจ 4)
*ทั้ง 2 มิตินี้ ต้องปรับให้ตรงกัน อย่าให้มีกิเลส อย่าให้เป็นมิจฉา ให้มีสัมมาทิฐิ / สัมมาสังกัปปะ / สัมมาวาจา
2. ศรัทธานั้นต้องให้เกิดการลงมือปฏิบัติ ทำจริงแน่วแน่จริง
3. ศรัทธาที่มีอาการต้องประกอบไปด้วยปัญญาจากการคิดใคร่ครวญโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) ในกาลมสูตร 10 และตามหลักของ “อปัณณกธรรม” ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดจากความเป็นอริยะ คือ ให้ ละ วิบัติ 3 ประการ และให้ถึงพร้อมด้วยสัมปทา 3 ประการ
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ในโลกปัจจุบันนี้มีเรื่องขัดแย้งวุ่นวายเกิดขึ้นหลายเรื่องราว สาเหตุของเรื่องราวขัดแย้งมักเริ่มจากจุดเล็กๆคือการทะเลาะกันเหตุเพราะมีเรื่องราวที่เกิดจากการหวงกั้น การมีเรื่องราวที่เกิดจากการหวงกั้นขึ้นนั้นมีเหตุเริ่มมาจาก “ตัณหา” คือ เมื่อมีตัณหาจะทำให้เกิดการแสวงหา ทำให้มีการได้ เมื่อได้มาทำให้มีการปลงใจรัก แล้วก่อให้เกิดความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ ทำให้มีความสยบมัวเมาอย่างจับอกจับใจ จึงทำให้มีความตระหนี่ จึงทำให้มีการหวงกั้น แล้วจึงทำให้มีเรื่องราวจากการหวงกั้นนั้น ความขัดแย้งวุ่นวายต่าง ๆ ดังพุทธพจน์กล่าวไว้ดังนี้
นี่คือทางสายที่ไม่ดีคือทางที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในคือทางแห่งมิจฉามรรค แต่ในเส้นทางนี้ยังมีทางออกไปสู่ทางที่ดีได้ เช่น ช่องของความพอใจ คือเมื่อเกิดฉันทะ ก็อย่าให้มีราคะ คือต้องฉลาดในการวินิจฉัยให้ถูกว่าความสุขเกิดขึ้นเป็นความสุขแบบใด ความสุขมี 2 แบบ คือ
1) ความสุขที่ไม่ควรเสพคือความสุขที่เกิดกาม ความสุขที่เกิดจากทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เพราะมีโทษมากมีคุณน้อย
2) ความสุขที่ควรเสพ คือความสุขที่เกิดจากภายใน เป็นความสุขที่เกิดจากฌานสมาธิทั้ง 4 เป็นความสงบให้เกิดความรู้ยิ่งรู้พร้อม หรือทางออกจากช่องทางการแสวงหาคือการแสวงหาที่ประเสริฐและการแสวงหาที่ไม่ประเสริฐ ผู้ที่แสวงหาหนทางที่ประเสริฐคือทางแห่งมรรค 8 ก็จะเป็นผู้ค้นพบหนทางแห่งการพ้นทุกข์ได้
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
บุคคลผู้ดำเนินตามทางแห่งมรรค 8 จนสามารถมองเห็นฝั่งแห่งนิพพานอยู่เบื้องหน้า มีจุดหมายแห่งการบรรลุอย่างแน่แท้ เรียกว่า อริยบุคคล ผู้บรรลุธรรมวิเศษ แบ่งตามประเภทบุคคลมี 4 ประเภท คือ
1.พระโสดาบัน คือ ผู้เข้าถึงกระแสธรรม การที่จะเข้าถึงคุณสมบัติของพระโสดาบันจะต้องสอบให้ผ่านบททดสอบแห่งความงมงาย ความเชื่อผิดๆ ความเข้าใจไม่ถูกต้อง คือต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติของโสตาปัตติยังคะ 4 คือ 1) มีศรัทธา หยั่งลงมั่นไม่หวั่นไหว ในพระพุทธเจ้า 2)ศรัทธา อันหยั่งลงมั่นไม่หวั่นไหว ในพระธรรม 3) ศรัทธา หยั่งลงมั่นไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ 4) เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยศีล ที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติของโสตาปัตติยังคะ 4 จะทำให้ละ สังโยชน์ เบื้องต่ำ 3 ประการได้คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เมื่อละสังโยชน์ เบื้องต่ำ 3 ประการนี้ได้จะส่งผลให้เป็นผู้พ้นจากอบาย4 พ้นจากนรก พ้นจากกำเนิดเดรัจฉานและเปรตวิสัย และจะพ้นจากการมาเกิดอีกในชาติที่8
2.พระสกิทาคามี แปลว่า ผู้กลับมาเพียงครั้งเดียว ผู้ได้บรรลุสกิทาคามิผลต้องผ่านข้อสอบเดียวกับโสดาบันคือเป็นผู้ที่ละสังโยชน์เบื้องต่ำ 3 ประการแรกได้ อีกทั้งต้องทำสังโยชน์เบื้องต่ำอีกสองประการที่เหลือให้เบาบางลงด้วย คือ กามราคะ ปฏิฆะ(พยาบาท) พระสกิทาคามีจะเกิดในกามาวจรภพอีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้นก็จะถึงพระนิพพาน
3.พระอนาคามี แปลว่า ผู้ไม่มาเกิดอีก หมายความว่าจะไม่กลับมาเกิดในกามาวจรภพอีก เป็นผู้ละสังโยชน์เบื้องต่ำ (โอรัมภาคิยสังโยชน์) ทั้ง 5 ประการได้แล้ว ข้อสอบที่พระอนาคามีต้องสอบให้ผ่านเพิ่มเติมคือ การละกามราคะ ละปฏิฆะ(พยาบาท) ให้ได้ ธรรมที่จะนำมาใช้คือการเจริญพรหมวิหาร 4 เมื่อเจริญพรหมวิหาร4อยู่เนืองๆจะทำให้ละกามราคะและละปฏิฆะลงได้ เมื่อสอบผ่านข้อสอบนี้ ผลก็คือจะทำให้พ้นจากโลกแห่งทางกาม คือไปเกิดในพรหมโลกอีกเพียงครั้งเดียว แล้วจะนิพพานจากพรหมโลกนั้น
4.และพระอรหันต์ คือ ผู้สำเร็จธรรมวิเศษสูงสุดในพระพุทธศาสนา พระอริยบุคคลชั้นสูงสุด สามารถละสังโยชน์เบื้องต่ำ (โอรัมภาคิยสังโยชน์) ทั้ง 5 ประการได้แล้ว ยังละสังโยชน์เบื้องสูง (อุทธัมภาคิยสังโยชน์) อีก 5 ประการ คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ได้อีกด้วย
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
การจะปรับเปลี่ยนคนไม่ดีให้เป็นคนดีได้ ต้องใช้ความดีเท่านั้น พระโพธิสัตว์ได้กล่าวคาถาที่เป็นธรรมะของคนดี(สาธุนรธรรม) ไว้ 4 ข้อคือ
1.จงเดินตามทางที่ท่านเดินไปแล้ว หมายถึง การรู้จักคุณของผู้มีพระคุณ (กตัญญู) ถ้าเราทำคุณกับผู้ไม่มีคุณธรรม อาจจะได้ผลน้อย ไม่ได้ผล หรือได้ผลร้าย
2.จงอย่าเผาฝ่ามืออันชุ่มหมายความว่า ไม่ประทุษร้าย ท่านผู้มีคุณ สมัยก่อนเขาจะล้างมือแล้วหยิบของให้ มือจึงชุ่มอยู่เสมอ คือ ให้ของคนอื่นบ่อย
3.อย่าประทุษร้ายในหมู่มิตร มีมิตรดีแล้ว ตั้งใจคบหาด้วยความเคารพ เอื้อเฟื้อ ด้วยความรู้ว่า ผู้มีมิตรธรรม ไม่ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อย ไม่เป็นผู้ด้อย
4.ไม่ตกอยู่อำนาจของอิสตรี คำว่าอิสตรีในที่นี้หมายถึง หญิงที่ดูหมิ่นชาย คือ เมื่อเป็นสามีที่ทำหน้าที่อย่างถูกต้องตามหลักทิศทั้งหกแล้วภรรยายังดูหมิ่นไม่ให้เกียรติและไม่ทำหน้าที่ของตน ชายก็ไม่ควรตกอยู่ในอำนาจของสตรีแบบนี้
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
การโจทก์ในทางพุทธศาสนา คือ การตั้งหัวข้อที่จะเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงให้อยู่ด้วยกันได้ การอยู่ร่วมกันนั้นต้องอยู่อย่างมีศีลและทิฏฐิที่เสมอกัน ในการปรับให้อยู่ด้วยกันนั้นต้องเป็นไปตามทางของมรรค โดยผู้โจทก์และผู้ถูกโจทก์ต้องมีคุณธรรมดังนี้
การเป็นผู้โจทก์ต้องมีคุณธรรม 5 อย่าง คือ
1.ต้องกล่าวในเวลาอันควรอย่ากล่าวในเวลาอันไม่ควร
2.ต้องกล่าวด้วยถ้อยคำอันเป็นจริงไม่กล่าวด้วยถ้อยคำอันไม่จริง
3.ต้องกล่าวด้วยถ้อยคำอ่อนหวานไม่กล่าวด้วยถ้อยคำหยาบคาย
4.กล่าวด้วยถ้อยคำอันประกอบด้วยประโยชน์ไม่กล่าวด้วยถ้อยคำอันไม่ประกอบด้วยประโยชน์
5.ผู้กล่าวต้องกล่าวด้วยมีจิตเมตตากล่าวไม่กล่าวอย่าเพ่งโทษกล่าว
ส่วนผู้ถูกโจทก์ต้องมีคุณธรรม 2 อย่าง คือ
1.ความจริง คือ เอาข้อเท็จจริงมาเป็นหลัก
2.ความไม่โกรธ
การนำคุณธรรมทั้ง 7 ข้อนี้มาใช้คือใช้ในเวลาที่เหมาะสม คุยด้วยเรื่องจริง ด้วยคำอ่อนหวาน ด้วยเรื่องที่ประกอบด้วยประโยชน์ และด้วยเมตตาจิต หากคิดเห็นไม่ตรงกัน ก็เอาข้อเท็จจริงมาคุยกัน และหากมีการกระทบกันก็ไม่โกรธกัน ก็จะทำให้อยู่ร่วมกันได้
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
อุบาสกหรืออุบาสิกา แปลว่า ผู้นั่งใกล้พระรัตนตรัย หมายถึงผู้ใกล้ชิดพระพุทธศาสนา ผู้นับถือศาสนาอย่างมั่นคง
อุบาสกหรืออุบาสิกาในธรรมวินัยควรจะมีคุณสมบัติอย่างไรพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสเอาไว้มีอยู่หลายส่วนด้วยกันในตอนนี้จะนำส่วนที่ครูบาอาจารย์ได้รวบรวมไว้ใน อังคุตตรนิกาย ซึ่งอยู่ในธรรมหมวด 7 คือ หานิสูตร โดยพูดถึงความที่จะไม่เสื่อม ความที่จะก้าวหน้า ความที่จะเจริญงอกงามของอุบาสกอุบาสิกา โดยกล่าวเปรียบเทียบไว้เป็นคู่ดังนี้
1. การเยี่ยมเยือนภิกษุ หรือขาดเยี่ยมเยือนภิกษุ
2. ละเลยการฟังธรรม หรือไม่ละเลยการฟังธรรม
3. การศึกษาอธิศีล หรือไม่ศึกษาอธิศีล
4. การปลูกความเลื่อมใสศรัทธา
5. การไม่ตั้งจิตติเตียนเพ่งโทษฟังธรรม
6. การไม่แสวงหาเขตบุญนอกพระพุทธศาสนา
7. การทำสักการะก่อนในเขตบุญของพระพุทธศาสนา
หากเราปฏิบัติตามหลักธรรมทั้ง 7 อย่างนี้อย่างถูกต้องต่อเนื่องก็จะทำให้เป็นอุบาสกหรืออุบาสิกาแก้วนั่นเอง
โดยคุณสมบัติของ อุบาสกอุบาสิกาแก้ว มี 5 ประการ คือ
1. มีศรัทธา คือมีความเชื่อ มีความมั่นใจในพระรัตนตรัย ความเชื่อของเรานี้ต้องเป็นความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญา ไม่ใช่ศรัทธางมงาย
2. มีศีล อย่างน้อยตั้งตนอยู่ในศีล5 ซึ่งจะทำให้มีชีวิตที่ดีงาม เป็นฐานสำหรับตนเองที่จะก้าวไปสู่การปฏิบัติเบื้องสูง พร้อมกันนั้น ก็เป็นเครื่องช่วยเหลือเกื้อกูลสังคม เพราะว่าผู้ถือศีล5 เป็นผู้ไม่เบียดเบียนคนอื่น แต่ดำรงชีวิตที่สุจริต ใครตั้งอยู่ในศีล 5 ก็ทำให้ที่นั้นมีความปลอดภัย
3.ไม่ถือมงคลตื่นข่าว คือไม่มัวหวังผลจากความเชื่อถือนอกหลักพระพุทธศาสนา ที่เป็นความงมงาย ได้แต่หวังผลจากการดลบันดาลต่างๆ แต่ให้เชื่อกรรม คือเชื่อการกระทำที่เป็นไปตามเหตุผล ให้หวังผลจากการกระทำด้วยความเพียรพยายามของตน คุณสมบัติข้อนี้จะต้องให้เป็นหลักสำคัญอย่างหนึ่งของสังคมไทยของเรา
4.ไม่แสวงหาเขตบุญนอกพระพุทธศาสนา คือ เมื่อถือมงคลตื่นข่าว ไปเชื่อเรื่องไม่เข้าเรื่อง แล้วเขตบุญก็ย้ายออกจากพระพุทธศาสนาไปหาเขตบุญภายนอก ก็ยิ่งไปส่งเสริมให้ความเชื่อผิดปฏิบัติผิดแพร่หลายยิ่งขึ้น และแหล่งคำสอนที่ถูกต้อง คนก็ไม่เอาใจใส่ คนก็ยิ่งห่างจากหลักพระศาสนาออกไป ไม่รู้และไม่เอาใจใส่ในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
5. สนับสนุนพระพุทธศาสนา หมายความว่าทำการขวนขวาย ทะนุบำรุงอุปถัมภ์พระสงฆ์ และกิจการพระพุทธศาสนา ที่จะทำให้พระธรรมวินัยเจริญมั่นคง ช่วยกันดำเนินกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นกุศลแท้จริง ที่เป็นเรื่องถูกทำนองคลองธรรม ที่จะทำให้ศีลธรรมเจริญงอกงาม
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
การศึกษาปฏิบัติธรรม เปรียบเสมือน ”การจับงูพิษ” ถ้าจับไม่ถูกต้อง ไม่ระมัดระวัง ก็อาจจะเกิดอันตรายกับตนเองและผู้อื่นได้ แทนที่จะละวางความยึดถือลงแต่กลับยึดถือขึ้นมาแทน
“ธรรม” ที่ดูเหมือนจะเป็น “เรื่องธรรมดา ที่ไม่ธรรมดานี้” หมายถึง เรื่องพื้นฐานแต่มีความสำคัญ จึงต้องหยิบมาทำการศึกษาเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างละเอียด โดยได้ยกพุทธพจน์ คำอุทาน พระสูตร มาประกอบ พอจะสรุปได้ดังนี้
1. สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นทั้งหมดย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา
2. สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา พวกเธอทั้งหลายจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด
3. ฐานะ 5 ประการ ที่ใครๆ ก็ไม่พึงได้ คือ ขอสิ่งที่มีความแก่- เจ็บ- ตาย- ความสิ้นไป-ฉิบหายไป ว่า อย่าแก่เลย…ฯ
4. เราจะมาได้ตามความปรารถนาใน “สิ่งที่มีความแตกดับเป็นธรรมดา” ว่า อย่าเสื่อม อย่าสิ้นไป มันจะไม่ได้
5. มาพิจารณาอยู่เนืองๆว่าเรามีความแก่ / ความเจ็บ / ความตาย / ความพลัดพราก / กรรมของตน
การมาพิจารณาอยู่เนือง ๆ ให้เห็นตามความเป็นจริงในสังขารทั้งหลาย จะทำให้เราเกิดปัญญา วางความยึดถือด้วยเรื่องพื้นฐาน สูงขึ้นจนถึงระดับโลกุตระได้
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
วาโยธาตุ หรือที่เราเรียกว่า “ธาตุลม” เป็น 1 ใน มหาภูตรูป 4
ธาตุลมประกอบไปด้วย :-
ลมภายในแบ่งได้เป็น :-
ลมปราณ คือ ลมหายใจเข้า-ออก
1. ลมหายใจต่อกาย-ทิ้งกาย หมายถึง ลมทำหน้าที่ในการหล่อเลี้ยงร่างกาย และทำลายร่างกายไปในกระบวนการเดียวกัน (มีการเผาผลาญในกาย)
2. ลมหายใจต่อจิต (การมีสติสัมปชัญญะรู้ลมหายใจ) / ทิ้งจิต (ปล่อยสติเผลอเพลิน)
ลมปาก คือ ลมที่ผ่านหลอดเสียง ที่ออกจากกายไปสู่ภายนอก เป็นลักษณะของสัญญาเปลี่ยนแปลงไปตามการปรุงแต่ง (สังขาร) และสื่อออกมาทางลมปาก ได้แก่
1) ลมเหม็น (คูถภาณี) คือ ผู้มีวาจาภาษาพูดเหมือนคูถหรืออุจจาระ เกิดจากจิตที่เป็นอกุศลที่ปรุ่งแต่งออกมาทางวาจา เป็น “วจีทุจริต” ได้แก่
1.1 การพูดเท็จ พูดปด พูดไม่จริง พูดบิดเบือน ไม่เกิดประโยชน์
1.2 พูดส่อเสียด ยุยงให้แตกกัน บาดหมาง พูดใส่ร้าย-ป้ายสี
1.3 พูดคำหยาบ ได้แก่ “คำหยาบคาย” คือ พูดทิ่มแทงให้เจ็บใจ แดกดัน เสียดสี เหน็บแนม / “คำหยาบโลน” คือ พูดภาษาใต้สะดือ ใช้สรรพนามของสัตว์แทนคน
1.4 พูดเพ้อเจ้อ ได้แก่ “พูดพล่าม” คือ คำพูดที่โปรยประโยชน์ทิ้ง ไร้สาระ หาประโยชน์ไม่ได้ (พูดเยอะแต่ไม่เกิดประโยชน์) / “พูดเหลวไหล” คือ คำพูดเลอะเทอะ ไม่มีหลักฐานอ้างอิง หาประโยชน์ไม่ได้ เช่น คำพูดมุกตลก
2) ลมหอม (ปุปผภาณี) คือ ผู้มีวาจาพูดภาษาดอกไม้ ได้แก่ พูดคำจริง ไม่พูดเท็จ
3) ลมหวาน (มธุภาณี) คือ ผู้มีวาจาพูดภาษาน้ำผึ้ง ได้แก่ พูดความจริงไพเราะจับใจ ประกอบไปด้วยพรหมวิหาร เป็นผู้ละเว้นคำหยาบ
3.1 พูดจริง ดี มีประโยชน์ รู้กาลที่เหมาะสมแล้วจึงพูด / เว้นคำพูดจริงแต่ไม่มีประโยชน์ ไม่ประกอบด้วยกาล
3.2 พูดสมานไมตรี ให้เกิดความสามัคคีกันมากยิ่งขึ้น
3.3 พูดไพเราะ เป็นคำพูดที่ “อ่อนหวาน” สุภาพ มีถ้อยคำที่สละสลวย ฟังแล้วลื่นหู / “คำพูดดื่มด่ำดูดดื่ม” มีคติธรรม ฟังแล้วจับใจ
3.4 พูดมีประโยชน์ มีหลักฐานอ้างอิง เป็นคำจริง ประกอบด้วยกาลเทศะ
*ลักษณะคำพูดที่หอมหวานนั้นคือ เป็นมงคล เป็นวาจาสุภาษิต ฟังแล้วเกิดความรู้สึกซาบซึ้งเบิกบาน เป็นวาจาที่หาโทษมิได้
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
“ธรรมสมาธิ” คือ ธรรมที่ทำให้เกิดความมั่นสนิทในธรรม เป็นธรรมที่ทำให้เกิดความมั่นใจในการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง และกำจัดความสงสัยเสียได้ เมื่อเกิดความมั่นสนิทในธรรมแล้ว ก็จะเกิดจิตตสมาธิ คือความตั้งมั่นของจิตตามมา ธรรมสมาธิมี 5 ประการ คือ
1) ปราโมทย์ คือ ความชื่นบานใจ ความร่าเริงสดใส เป็นความชื่นบานใจในธรรม ความร่าเริงสดใสในธรรม เป็นปราโมทย์ที่ไม่อาศัยอามิส
2) ปีติ คือ ความอิ่มใจ ความปลื้มใจ เป็นสภาวธรรมที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติธรรม มี 5 ระดับ คือ ขุททกาปีติ ขณิกาปีติ โอกกันติกาปีติ อุพเพงคาปีติ และผรณาปีติ
3) ปัสสัทธิ ความสงบระงับภายใน ความสงบเย็นกายเย็นใจ ความผ่อนคลายรื่นสบาย ไม่มีความเดือดร้อนกระวนกระวายใจมารบกวนให้หงุดหงิดรำคาญใจ
4) โสมนัส ความสุข ความสบาย ความรื่นใจไร้ความข้องขัด ปราศจากความทุกข์ร้อนใด ๆ ที่จะมารบกวนขัดขวางให้ไม่อยากปฏิบัติธรรม มีแต่ความสุขสบายกายและใจ ยินดีในการปฏิบัติธรรม
5) สมาธิ ความสงบตั้งมั่นของจิต ไม่มีสิ่งรบกวนเร้าระคาย จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิไม่วอกแวก ไม่มีอารมณ์ภายนอกมารบกวนให้หงุดหงิดรำคาญใจ
ธรรมทั้ง 5 ประการนี้ เป็นกระบวนการที่เป็นส่วนสนับสนุนให้บุคคลเกิดความมั่นใจในการปฏิบัติธรรม มีความแช่มชื่นยินดีในการปฏิบัติธรรมให้เกิดผลสำเร็จ เป็นธรรมหรือคุณสมบัติสำคัญของจิตใจที่ทุกคนควรทำให้เกิดมีอยู่เสมอ ธรรมสมาธิ 5 ประการนี้ จะเกิดขึ้นต้องอาศัยโยนิโสมนสิการ การใคร่ควรโดยแยบคาย ซึ่งมีอยู่หลายแนวทาง ในตอนนี้จะยกเอาแนววิธีการที่ท่านพระอนุรุทธะได้ทำไว้มากล่าว และพระพุทธเจ้าทรงเรียกแนวทางนี้ว่า มหาปุริสวิตก 8 ประการ ได้แก่
ธรรมคำสอนนี้สำหรับบุคคลผู้มักน้อย มิใช่ของผู้มักมาก
ธรรมคำสอนนี้สำหรับของบุคคลผู้สันโดษ มิใช่ของผู้ไม่สันโดษ
ธรรมคำสอนนี้สำหรับบุคคลผู้สงัด มิใช่ของผู้ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ
ธรรมคำสอนนี้สำหรับบุคคลผู้ปรารภความเพียร มิใช่ของผู้เกียจคร้าน
ธรรมคำสอนนี้สำหรับบุคคลผู้มีสติตั้งมั่น มิใช่ของผู้มีสติหลงลืม
ธรรมคำสอนนี้สำหรับบุคคลผู้มีจิตมั่นคงเป็นสมาธิ มิใช่ของผู้มีจิตไม่มั่นคง
ธรรมคำสอนนี้สำหรับบุคคลผู้มีปัญญา มิใช่ของผู้มีปัญญาทราม
ธรรมคำสอนนี้สำหรับบุคคลผู้ยินดีในธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้า มิใช่ของผู้ยินดีในธรรม
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ตัณหา เป็นเครื่องทำให้มีการเกิดอีก มีความเป็นสภาวะขึ้นมา ประกอบด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน อันเป็นเครื่องให้เพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้นๆ เพราะฉะนั้นต้องประกอบด้วยการเกิดอีกให้เป็นสภาวะขึ้นมา เป็นตัวเป็นตนขึ้นมา มีความกำหนัด มีความเพลิน โดยนัยยะนี้ได้แบ่งตัณหาเป็น 3 อย่างดังนี้
1.กามตัณหา คือความกำหนัดยินดีพอใจและความเพลินในรูปผ่านทางตา เสียงผ่านทางหู กลิ่นผ่านทางจมูก รสผ่านทางลิ้น และโผฏฐัพพะผ่านทางกาย และความอยากได้กามคุณคือสิ่งสนองความต้องการทางประสาททั้งห้า
2.ภวตัณหา คือ ความอยากในภาวะของตัวตนที่จะได้จะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ความอยากมี อยากเป็น อยากคงอยู่ตลอดไป
3.วิภวตัณหา คือ ความอยากในความพรากพ้นไปแห่งตัวตนจากความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งอันไม่ปรารถนา ความไม่อยากเป็น อยากดับสูญ
ส่วนตัณหา 108 นั้นมาจากคำว่าตัณหาวิจริตคือความนึกที่แผ่ซ่านด้วยอำนาจของตัณหาคือความเพลินซ่านไปแผ่ไป โดยแผ่ซ่านกระจายไปในขันธ์อันเป็นภายใน 18 อย่าง ขันธ์อันเป็นภายนอกอีก18อย่าง ทั้ง 2 นี้ รวม 36 อย่าง 3 กาลคือ ปัจจุบัน อดีต และอนาคต จึงเป็นตัณหา 108 นั่นเอง
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
เวทนา หมายถึงการเสวยอารมณ์ ความรู้สึก คือความรู้สึกสุข(โสมนัส) ทุกข์(โทมนัส) หรือเฉยๆ(อุเบกขา)ที่เกิดขึ้นที่กายที่ใจ ในที่นี้จะกล่าวถึงเวทนาคือทางไปของจิต จิตของเรานั้นมักจะมีความยึดถือในสิ่งต่างๆ ในการยึดถือนั้นก็เพื่อจะให้เกิดสุขเวทนา หลีกหนีออกจากทุกขเวทนา กล่าวคือทางที่ไปแห่งจิตของสัตว์ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเทวดา พรหม มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน หรือแม้แต่สัตว์นรก ก็เพื่อจะให้เกิดสุขเวทนา หลีกหนีออกจากทุกขเวทนาด้วยกันทั้งสิ้น
พระพุทธเจ้าได้ทรงกล่าวถึงเวทนาทางไปแห่งจิตของสัตว์ 36 อย่าง ไว้ดังนี้
เวทนาทางไปแห่งจิตที่เกี่ยวข้องกับเหย้าเรือน คือยังเกี่ยวข้องกับกามคุณอยู่ ได้แก่
ความโสมนัสเนื่องด้วยเหย้าเรือน 6 อย่าง คือสุขที่เนื่องด้วยสัมผัส ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ความโทมนัสเนื่องด้วยเหย้าเรือน 6 อย่าง คือทุกข์ที่เนื่องด้วยสัมผัส ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
อุเบกขาเนื่องด้วยเหย้าเรือน 6 อย่าง คือความวางเฉยที่เนื่องด้วยสัมผัส ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เวทนาทางไปของจิตที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหย้าเรือน คือหลีกออกจากกามคุณ ได้แก่
ความโสมนัสเนื่องด้วยการหลีกออกจากเหย้าเรือน 6 อย่างคือสุขที่เกิดจากการมีปัญญาพิจารณาเห็น ถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ความโทมนัสเนื่องด้วยการหลีกออกจากเหย้าเรือน 6 อย่างคือทุกข์เกิดจากการที่เข้าใจ ถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และมีความตั้งใจ ขวนขวาย เพื่อที่จะให้มีปัญญาเห็นตามความเป็นจริง แต่ไม่สามารถบรรลุได้ ก็จึงเกิดความเสียใจ ทุกข์ใจ โทมนัส
อุเบกขาเนื่องด้วยการหลีกออกจากเหย้าเรือน 6 อย่าง คือเมื่อมีปัญญาพิจารณาเห็น ถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วมีความวางเฉยในปัญญาที่เกิดขึ้นมานั้น
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ธรรมที่วัดความก้าวหน้าสำหรับผู้บริโภคกาม ได้แก่กามโภคี 10
แบ่งกลุ่มตามตัวแปรคือ 1.การได้มาของทรัพย์นั้น 2. ได้ทรัพย์มาแล้วใช้จ่ายอย่างถูกต้องเหมาะสม 3. ต้องรู้จักใช้ทรัพย์นั้นในการทำความดีและบำเพ็ญบุญ เมื่อนำ3 เกณฑ์นี้มาจัดกลุ่มได้ ดังนี้
กลุ่มที่แสวงหาโดยไม่ชอบธรรม
1.ได้ทรัพย์มาแล้วไม่เลี้ยงตนให้เป็นสุขทั้งไม่เผื่อแผ่แบ่งปันและไม่ใช้ทรัพย์ทำความดี
2.ได้ทรัพย์แล้วเลี้ยงตนให้เป็นสุขแต่ไม่เผื่อแผ่จ่ายแบ่งปันและไม่ใช้ทรัพย์นั้นทำความดี
3. ได้ทรัพย์มาแล้ว เลี้ยงตนให้เป็นสุขทั้งเผื่อแผ่แบ่งปันและใช้ทรัพย์นั้นทำความดี
กลุ่มที่แสวงหาโดยชอบธรรมบ้าง ไม่ชอบธรรมบ้าง
4.ได้ทรัพย์มาแล้ว ไม่เลี้ยงตนให้เป็นสุข ไม่เผื่อแผ่แบ่งปันและไม่ใช้ทรัพย์นั้นทำความดี
5.ได้ทรัพย์มาแล้ว เลี้ยงตนให้เป็นสุขแต่ไม่เผื่อแผ่แบ่งปันและไม่ใช้ทรัพย์นั้นทำความดี
6.ได้ทรัพย์มาแล้ว เลี้ยงตนให้เป็นสุขทั้งเผื่อแผ่แบ่งปันและใช้ทรัพย์นั้นทำความดี
กลุ่มที่แสวงหาโดยชอบธรรม
7.ได้ทรัพย์มาแล้ว ไม่เลี้ยงตนให้เป็นสุข ไม่เผื่อแผ่แบ่งและไม่ใช้ทรัพย์นั้นทำความดี
8.ได้ทรัพย์มาแล้ว เลี้ยงตนให้เป็นสุข แต่ไม่เผื่อแผ่แบ่งปันและไม่ใช้ทรัพย์นั้นทำความดี
9. ได้ทรัพย์มาแล้วเลี้ยงตนให้เป็นสุข เผื่อแผ่แบ่งปันและใช้ทรัพย์ทำความดี แต่ยังติดยังหมกมุ่น กินใช้ทรัพย์สมบัติโดยไม่รู้เท่าทันเห็นโทษ ไม่มีปัญญาที่จะทำตนให้เป็นอิสระเป็นนายเหนือโภคทรัพย์
กลุ่มพิเศษ: แสวงหาชอบธรรม และกินใช้อย่างมีสติสัมปชัญญะ มิจิตใจเป็นอิสระ
10.ผู้ที่แสวงหาโภคทรัพย์โดยชอบธรรม แล้วเลี้ยงตนให้เป็นสุข เผื่อแผ่แบ่งปันและใช้ทรัพย์นั้นทำความดีไม่ลุ่มหลง ไม่หมกมุ่นมัวเมา กินใช้ทรัพย์สมบัติโดยรู้เท่าทัน เห็นคุณโทษทางดีทางเสียของมัน มีปัญญาทำตนให้เป็นอิสระ เป็นชาวบ้านชนิดที่เลิศ ประเสริฐ สูงสุด
ธรรมที่วัดความก้าวหน้าสำหรับบรรพชิต คือ
1) เราเป็นผู้มีเพศต่างจากคฤหัสถ์ 2)การเลี้ยงชีพของเราเนื่องด้วยผู้อื่น 3)อากัปกิริยาอย่างอื่นอันเราควรทำมีอยู่ 4)เราย่อมติเตียนตนเองได้โดยศีลหรือไม่ 5)เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายผู้เป็นวิญญูชนพิจารณาแล้ว ติเตียนเราได้โดยศีลหรือไม่ 6)เราต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น 7) เราเป็นผู้มีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราจักทำกรรมใดดีหรือชั่วก็ตาม เราจักต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น 8)วันคืนล่วงไป ๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ 9)เราย่อมยินดีในเรือนว่างเปล่าหรือไม่ 10) คุณวิเศษของเรามีอยู่หรือไม่
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
โลกบาล” เป็นหลักคุ้มครองรักษาโลก ที่ช่วยให้มนุษย์อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข อันประกอบด้วยหลักธรรม 2 ประการที่จะมาคู่กันเสมอในจิตใจ ที่จะทำให้บุคคลทำแต่ความดี คือหิริและโอตตัปปะ “หิริ” แปลว่าความละอายต่อบาป และ “โอตตัปปะ” แปลว่าความกลัวต่อบาป
บุคคลผู้มีหิริและโอตตัปปะ มีสติสัมปชัญญะ มีการสำรวมอินทรีย์ ศีลสมบูรณ์ เป็นเครื่องที่ทำให้เกิดปัญญาเห็นตามความเป็นจริงถึงพระนิพพานได้ในที่สุด
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
หมวดธรรม 4 ประการ 2 อย่าง ที่มีส่วนสนับสนุนให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ได้แก่
สัมปรายิกัตถสังวัตตนิกธรรม 4 คือ ธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์เบื้องหน้า
1.สัทธาสัมปทา : ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา คือความมั่นใจในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
2.สีลสัมปทา : ความถึงพร้อมด้วยศีล คือศีล 5 ที่ตั้งขึ้นด้วยเจตนางดเว้น
3.จาคสัมปทา : ความถึงพร้อมด้วยการเสียสละ คือสละสิ่งของ สละกิเลส
4.ปัญญาสัมปทา : ความถึงพร้อมด้วยปัญญา คือปัญญาที่เข้าใจในความไม่เที่ยงของสิ่งต่างๆ
บางครั้งการจะพัฒนาจิตใจให้ก้าวหน้านั้นอาจต้องพบเจออุปสรรค มีธรรมอีกหมวดหนึ่งที่เรานำมาใช้ร่วมกันแล้วจะสนับสนุนให้ชีวิตเราเจริญ คือ อปัสเสนธรรม 4 คือธรรมดุจเป็นพนักพิง ธรรมเป็นที่พึ่งพิงอาศัย ได้แก่
1.พิจารณาแล้วเสพ ได้แก่ สิ่งของปัจจัย 4
2.พิจารณาแล้วอดทน อดกลั้น ได้แก่ อนิฏฐารมณ์ต่างๆ มีหนาว ร้อน และทุกขเวทนาเป็นต้น
3. พิจารณาแล้วเว้นเสีย ได้แก่ สิ่งที่เป็นโทษก่ออันตรายแก่ร่างกาย และ จิตใจ
4. พิจารณาแล้วบรรเทาเสีย ได้แก่ สิ่งที่เป็นโทษและเกิดขึ้นแล้ว เช่น อกุศลวิตก มีกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก เป็นต้น
หมวดธรรม 4 ข้อ ของ 2 นัยยะที่ยกมานี้คือธรรมที่จะสนับสนุนเกื้อกูลให้การพัฒนาจิตของเรานั้นก้าวหน้าขึ้นมาได้
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
พระพุทธเจ้าได้ทรงแบ่งภัยในโลกนี้ไว้ 2 อย่างคือ ภัยที่ช่วยเหลือกันได้ และภัยที่ช่วยกันไม่ได้
1.ภัยที่พอช่วยเหลือกันได้ ได้แก่ 1.ภัยน้ำท่วม 2.ภัยเกิดจากไฟไหม้ 3.ภัยเกิดจากโจรขโมยและสงคราม ภัยเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วยังพอช่วยเหลือให้ผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง มากบ้างน้อยบ้าง ตามสถานการณ์
2.ภัยที่ช่วยกันไม่ได้ ถึงแม้จะเป็น พ่อ แม่ ลูก ที่รักและห่วงใยกันแค่ไหนก็ไม่สามารถช่วยกันได้เลย ได้แก่ 1. ภัยจากความแก่(ชราภัย) 2.ภัยจากความเจ็บไข้(พยาธิภัย) 3. ภัยจากความตาย(มรณะภัย) ภัยเหล่านี้เป็นภัยที่หากเกิดขึ้นแก่ผู้แล้วไม่มีใครที่จะสามารถช่วยแบ่งเบา หรือรับเอาภัยนั้นมาแทนกันได้เลย พระพุทธองค์ทรงชี้ทางออกไว้ให้ว่าหากผู้ใดเป็นผู้ที่มีอริยมรรคมีองค์ 8 ประกอบอยู่ในจิตของตน ผู้นั้นก็จะสามารถพ้นจากภัยอันตรายที่เกิดขึ้นจาก ความแก่ ความเจ็บ และความตายในอนาคตได้อย่างแน่นอน โดยอริยมรรคมีองค์ 8นี้ได้แก่ 1.ศีล คือสัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ,สัมมาอาชีวะ 2.สมาธิ คือสัมมาวายามะ,สัมมาสติ,สัมมาสมาธิ 3.ปัญญา คือ สัมมาทิฏฐิ, สัมมาสังกัปปะ
ภัยต่างๆที่เกิดขึ้นล้วนก่อให้เกิดทุกข์แก่ผู้ประสบภัยนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในที่นี้จะกล่าวถึงหมวดธรรมที่ทำให้เห็นว่าสุข-ทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นสิ่งใดทำให้เกิด โดยจะกล่าวหมวดธรรม 3 ข้อที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ได้แก่
1.สุข ทุกข์ เกิดจากผู้อื่นทำให้
2.สุข ทุกข์ เกิดจาก กรรมเก่า
3.สุข ทุกข์ เกิดจาก ไม่มีอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย
หากผู้ใดมีมิจฉาทิฏฐิทั้ง 3 ข้อนี้ ก็จะเป็นผู้ที่ไม่ได้ทำสิ่งที่ควรทำ ไม่ได้ละในสิ่งที่ควรละ จะทำให้อกุศลเกิดขึ้นในจิตใจได้ และเมื่อใดก็ตามที่อกุศลเกิด แต่กุศลไม่เกิดในจิตใจ เมื่อนั้นก็จะทำให้เกิดความทุกข์ขึ้น
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
การภาวนา คือการเจริญ การพัฒนา การฝึกอบรมให้ดีขึ้น ในตอนนี้จะกล่าวถึงการภาวนา 4 ประการที่หากไม่เจริญไม่ฝึกอบรมให้ดีจะก่อให้เกิด อนาคตภัย 5 ประการ ขึ้นได้ การภาวนาทั้ง 4 ประการนี้คือ
1. กายภาวนา คือการเจริญกาย พัฒนากาย การฝึกอบรมกาย โดยการฝึกสำรวมอินทรีย์ รู้ประมาณในการบริโภค ดูแลร่างกายเพียงเพื่อให้ได้ประพฤติพรหมจรรย์
2. สีลภาวนา คือการเจริญศีล พัฒนาความประพฤติ การฝึกอบรมศีล โดยตั้งอยู่ในระเบียบวินัย มีความประพฤติที่ดี ไม่เบียดเบียนหรือก่อความเดือดร้อนเสียหาย อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ด้วยดี เกื้อกูลแก่กัน
3.จิตภาวนา คือการเจริญจิต พัฒนาจิต การฝึกอบรมจิตใจ โดยฝึกให้จิตมีสมาธิมีความมั่นคง มีที่ตั้งคือสติ เจริญงอกงามด้วยคุณธรรมทั้งหลาย เช่น มีเมตตา กรุณา ขยันหมั่นเพียร อดทนเข้มแข็ง และสดชื่น เบิกบาน เป็นสุขผ่องใส เป็นต้น
4. ปัญญาภาวนา คือการเจริญปัญญา พัฒนาปัญญา การฝึกอบรมปัญญา ให้รู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง รู้เท่าทันเห็นโลกและชีวิตตามสภาวะ สามารถทำจิตใจให้เป็นอิสระ ทำตนให้บริสุทธิ์จากกิเลสและปลอดพ้นจากความทุกข์ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ด้วยปัญญา
หากไม่เจริญกาย เจริญศีล เจริญจิต และเจริญปัญญา จะก่อให้เกิด อนาคตภัย 5 ประการดังนี้
1.จะทำให้พระธรรม พระวินัยเลอะเลือน ทำให้ความศรัทธาเลื่อมใสลดลง
2.จะทำให้ไม่สามารถแนะนำอบรมพระ เณร รุ่นหลังเรื่องพระธรรม พระวินัยได้ถูกต้อง จะทำให้พระธรรม พระวินัยเลอะเลือน ทำให้ความศรัทธาเลื่อมใสลดลง
3.จะถลำลงสู่ธรรมที่ผิด(ธรรมดำ)โดยไม่รู้ตัว
4.จะทำให้ไม่มีใครฟังธรรมะอันลึกซึ้ง อันเป็นโลกุตระ อันประกอบด้วยสุญญตาธรรมของพระพุทธเจ้า แต่จะไปสนใจสูตรต่างๆ ที่นักกวีแต่งไว้
5.จะทำให้ภิกษุเถระประพฤติย่อหย่อน เป็นหัวหน้าในความล่วงละเมิด ไม่ปรารภความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรม ที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง ชนรุ่นหลังก็จักถือเป็นตัวอย่าง
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.