Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ช่วงไต่ตามทาง: หมอนทองวิทยา
- จากข่าวทีมฟุตบอลโรงเรียนหมอนทองวิทยา ได้มุมมอง 4 เรื่อง
1. แม้ต้นทุนไม่เท่ากัน แต่ก็ประสบความสำเร็จได้ = ความเพียร ความพยายาม ความทุ่มเท ความมีระเบียบวินัยในการฝึกซ้อม ความทุ่มเทของผู้ฝึกสอน ปรากฏผลออกมาเป็นความสำเร็จ เกือบคว้าแชมป์
2. ชัยชนะแห่งความสำเร็จ ได้รับทีละน้อยตั้งแต่เริ่มตื่นนอนมาเพื่อฝึกซ้อม แข่งขันในทุกนัด
3. กัลยาณมิตร = เพื่อนที่นำกัลยาธรรม (ความดี) มาสู่ทีม คือ โค้ช
4. นี่คือเส้นทาง ยังไม่ใช่จุดหมาย = แต่ก็ได้เรียนรู้ระหว่างการเดินทาง ถ้าออกนอกเส้นทาง ก็จะไปไม่ถึงจุดหมาย ถ้าทำตามเส้นทาง ยังไงก็ไปถึงจุดหมาย
ช่วงปรับตัวแปรแก้สมการ: หลักธรรมสู่ความสำเร็จ
1. หลักอิทธิบาท 4
(1) ฉันทะ = ความชอบ ความพอใจ
(2) วิริยะ = ความเพียร ความกล้า
(3) จิตตะ = ความเอาใจใส่ ความจดจ่อ
(4) วิมังสา = ความไตร่ตรอง ความใคร่ครวญ การปรับปรุงในสิ่งที่เป็นข้อผิดพลาด
- เจริญข้อใดข้อหนึ่งก็ได้ แต่ถ้าครบทำได้ทั้ง 4 ข้อ จะยิ่งดี พลังจะยิ่งมาก
- แต่ละข้อต้องอาศัย “สมาธิ” เป็นตัวกำกับ ทำให้เรื่องที่ตั้งไว้สำเร็จได้
2. หลักเสริมความสำเร็จ 9 ประการ
(1) ต้องมีสมาธิ = อาศัยฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา จนได้เอกัคคตาจิต จากนั้นให้ประคับประคองให้จิตตั้งไว้ให้ดีในการไม่ให้อกุศลเกิดขึ้น ทำกุศลธรรมให้เกิดขึ้น พัฒนากุศลธรรมที่มีอยู่
(2) ต้องไม่ย่อหย่อนเกินไป = ไม่เกียจคร้าน
(3) ไม่ประคับประคองเกินไป = ไม่กังวลใจ ไม่ฟุ้งซ่าน
(4) ไม่หดหู่อยู่ในภายใน = ความง่วงซึม เหงาหงอย หดหู่ ท้อแท้
(5) ไม่ฟุ้งซ่านออกไปในภายนอก = อย่าฟุ้งซ่านไปตามตา หู จมูก ลิ้น กาย (กามคุณ 5) เช่น อาหาร การละเล่น ชื่อเสียง การสรรเสริญเยินยอ
(6) ให้ความสำคัญว่าเบื้องหน้าอย่างไร เบื้องหลังอย่างนั้น = ให้ทำดีอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง
(7) ให้ความสำคัญว่าเบื้องบนอย่างไร เบื้องล่างอย่างนั้น = ไม่ส่งจิตออกไปในภายนอกในขณะที่ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ แต่ให้ส่งจิตอยู่ในภายใน ให้จิตเจริญอยู่ในกาย เป็นการเจริญกายคตาสติ
(8) ให้ความสำคัญว่ากลางวันอย่างไร กลางคืนอย่างนั้น = เจริญอิทธิบาท 4 โดยไม่เห็นแก่เวลาเลย
(9) ทำจิตให้เปิดเผย ไม่มีอะไรหุ้มห่อ = รักษาจิตใจให้มีความสว่างสดใส
โดยสรุป:
- การเจริญอิทธิบาท 4 เป็นการเดินทาง ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง เริ่มได้ตั้งแต่วันนี้ในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึงเรื่องยิ่งใหญ่ในชีวิต
- การรักษาจิตให้สว่างสดใสและตั้งอิทธิบาท 4 ไว้ได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อเอาจิตไปจดจ่อกับเรื่องใด ก็จะไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่ท้อถอย หากทำไปเรื่อย ๆ ก็จะได้รับความสำเร็จตลอดเส้นทาง โดยที่ความสำเร็จนั้นไม่ได้อยู่ในรูปแบบของถ้วยรางวัล แต่เป็นการชนะใจตนเองและผู้อื่น
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q1: ปฏิบัติธรรม-รักษาศีล ช่วงเข้าพรรษา
A: ช่วงเข้าพรรษา พระสงฆ์มีข้อจำกัด เช่น งดการเดินทาง ฆราวาสจึงเอาคติข้อนี้มาใช้สร้างความเพียรอย่างใดอย่างหนึ่งในช่วงเวลาเดียวกัน เช่น งดเหล้าเข้าพรรษา สวดมนต์ทุกวัน นั่งสมาธิทุกวัน
- ให้โฟกัสความสุขในช่วงเวลาที่ทำความเพียรนั้นว่า ได้อยู่ใกล้ชิดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ (อริยอุโบสถ)
Q2: ทิศทางการตั้งพระพุทธรูป
A: พระพุทธรูปมีมาในสมัยหลัง จึงเทียบเคียงกับการจัดเสนาสนะสำหรับพระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาลที่มีการบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก
- อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้านั่งเทศน์ นั่งสมาธิได้ทุกทิศ ดังนั้น ทิศทางการตั้งพระพุทธรูปจึงไม่ใช่สาระสำคัญ เท่ากับการตั้งใจปฏิบัติธรรม
Q3: ตายแล้วไปไหน
A: ความตาย เป็นไปตามเหตุและปัจจัย
- คนเราจะเกิดได้ ต้องเคยตายมาก่อน และเมื่อเกิดแล้ว ก็ต้องตาย เพราะเหตุแห่งความตายคือความเกิด ได้ทำมาแล้ว
- ซึ่งความตายสามารถดับไปได้ ถ้าเหตุและปัจจัยแห่งความตาย คือ ความเกิด นั้นหมดสิ้นไป
- หากละตัณหาและกำจัดอวิชชาได้ ก็จะละเหตุแห่งการเกิดได้ ความตายก็จะดับไป (นิพพาน) ซึ่งทำได้ด้วยการปฏิบัติตามมรรค 8 ก็จะพ้นจากความทุกข์ได้
- หากกลัวสูญเสียคนรัก ต้องเห็นด้วยปัญญาให้ได้ว่า ความตายเป็นเรื่องธรรมดา มีเกิดก็ต้องมีตาย
- ให้รักษาจิตของเราให้ดีตลอด จะได้ไปในที่ที่ดี
Q4: สิ่งที่ระลึกได้ก่อนตาย
A: คนทำไม่ดีมาตลอด แต่จิตสุดท้ายคิดเรื่องดี ก็ไปดี
- คนทำดีมาตลอด แต่จิตสุดท้ายคิดเรื่องไม่ดี ก็ไปไม่ดี
- อย่างไรก็ตาม ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ย่อมให้ผลแน่นอน อาจเป็นในเวลาต่อไป
Q5: เกิดมาเจอกันเพราะบุญบาป
A: คนรักกันได้ เพราะความเกื้อกูลกันในปัจจุบันหรือในกาลก่อน
- คนเกลียดกันได้ เพราะเหตุในปัจจุบันหรือในกาลก่อน
- แต่ความรักความเกลียด สามารถเปลี่ยนแปลงได้
- ให้มีเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อดทน กรุณา รักษาศีลให้ดี ก็จะเปลี่ยนจากศัตรูเป็นมิตร เปลี่ยนคนเกลียดเป็นคนรักได้
- อย่างไรก็ดี ควรทำจิตให้อยู่เหนือรักเกลียด เหนือดีชั่ว เหนือสุขทุกข์ ซึ่งทำได้โดยเริ่มต้นจากมาทางดี คือ มรรค 8 (ศีล สมาธิ ปัญญา) อันเป็นเส้นทางที่จะทำให้จิตของเราอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้นได้ ก็จะหลุดพ้นได้
Q6: ทำบุญขอหวย
A: ทำบุญ = ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
- ถ้าทำบุญโดยไม่ปรารถนาอะไรตอบแทน = บุญบริสุทธิ์มากกว่า
- ถ้าทำบุญโดยปรารถนาอะไรตอบแทน = บุญมีความเศร้าหมองเจือปน
- การทำบุญโดยปรารถนาสิ่งตอบแทน ยังดีกว่าการไม่ทำบุญเลย
- ให้อธิษฐานสร้างเหตุ อย่าขอเอาผล
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ช่วงไต่ตามทาง: ครอบครัวฟังธรรม
- ครอบครัวที่หนึ่ง พ่อเปิดธรรมะฟัง แม่และคนอื่น ๆ ในบ้านก็ได้ฟังด้วย ทำให้เกิดปัญญา เกิดการพัฒนา เกิดความก้าวหน้าในชีวิต ทั้งทางโลกและเหนือโลก
- ครอบครัวที่สอง พ่อแม่เปิดธรรมะให้ลูกฟังก่อนนอน โดยเฉพาะรายการจิตตวิเวก ทำให้นอนหลับได้ดี
- ครอบครัวที่สาม พ่อฟังธรรมะ แม่กับลูกก็ได้ฟังด้วย ช่วงแรกพ่อเกิดความสงสัย ต่อมาได้ความรู้เพิ่มขึ้น ก็หายสงสัย
- การฟังธรรม ได้ประโยชน์แน่นอน ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
ช่วงปรับตัวแปรแก้สมการ: ปาฏิหาริย์ใน 4 เดือนสุดท้ายของปี (Miracle Month)
- เมื่อกำหนดเวลาสิ้นปีใกล้เข้ามา วิธีทำงานให้สำเร็จ มีดังนี้
(1) กำจัดความกังวลใจ ความฟุ้งซ่าน = ให้หายใจเข้า-ออก ลึก ๆ สัก 2-3 ครั้ง จะคลายกังวลได้
(2) อย่าคิดว่าตนเองสำคัญ ที่จะทำงานนั้นได้เพียงคนเดียว = ยังไงก็มีคนมาทำแทนได้
(3) สร้างระเบียบวินัย = เป็นทางแห่งความสำเร็จ
- ระเบียบ = ตั้งระบบที่ถูกต้องในงานที่ทำ (อิทธิบาท 4 - ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา)
- วินัย = ความสามารถที่จะลงมือทำ ในสิ่งที่ต้องทำ ในเวลาที่ต้องทำ ไม่ว่าจะอยากทำหรือไม่อยากทำก็ตาม
โดยสรุป:
ในช่วงท้ายของปี ปาฏิหาริย์มักจะเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ สิ่งใดที่ปรารถนาก็ขอให้สำเร็จได้ด้วยอิทธิบาท 4 อันเป็นธรรมะแห่งความสำเร็จ การเจริญอิทธิบาท 4 ด้วยกาย วาจา ใจ จะทำให้ความสำเร็จเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
- โดยสรุป : ต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องของคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ เช่น ใบลาน ตำรา คัมภีร์ หนังสือ เว็บไซต์ ข้อมูลจาก AI และหากปฏิบัติตามข้อมูลนั้นแล้ว ราคะ โทสะ โมหะ ลดลง นั่นเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า
Q2: AI Buddha Bot
A: มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น สร้าง AI Bhudda Bot ให้คุยกับพระพุทธเจ้าได้ตลอดเวลา โดยนำข้อมูลมาจากคำสอนของพระพุทธเจ้าที่บันทึกไว้
- ความจำเป็นของสถานที่ (วัด) ก็จะลดลง เปลี่ยนรูปแบบเป็นออนไลน์ ทั้งการสอน การนั่งสมาธิ การสวดมนต์
- เป็นการเปลี่ยนแปลงใน “รูปแบบ/สื่อการสอนธรรมะ” ส่วน “ธรรมะคำสอน” ไม่ได้เปลี่ยนแปลง
Q3: วิธีบริหารทรัพย์สิน
A: 1. เป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยถูกต้อง
2. แบ่งจ่ายทรัพย์ให้ถูกต้อง 4 หน้าที่
(1) ใช้ในครัวเรือน ใช้ส่วนตัว
(2) เก็บไว้ใช้ในยามฝนตก, ลงทุน
(3) ให้เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น
(4) ให้เพื่อหวังเอาบุญ
Q4: Work-Life Integration
A: “ธรรมะ” ต้องอยู่ในชีวิตประจำวัน ทั้งในชีวิตส่วนตัวและการทำงานต้องสัมพันธ์กัน หลักธรรมจะประสานให้ไปด้วยกันได้ทั้งหมดโดยไม่มีการแบ่งแยก
Q5: การถูกต่อว่านินทา
A: การถูกนินทา เป็น 1 ในโลกธรรม 8 เป็นเรื่องธรรมดาของโลก แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ถูกนินทา
- ให้มองเห็นด้วย “ปัญญา” ของผู้ที่เป็นบัณทิต
(1) มองเป็นธาตุ = เป็นเพียงลม เป็นแรงสั่นสะเทือนออกมาเสียง ไม่ได้มีความหมายใด ๆ
(2) มองเป็นของไม่เที่ยง = เดี๋ยวก็ด่า เดี๋ยวก็ชม
(3) มองว่าผู้ด่า คือ ผู้ชี้ขุมทรัพย์ = ให้เราพัฒนาแก้ไขข้อบกพร่องให้ดีขึ้น
Q6: ทำวิปัสสนา ระหว่างทำงาน
A: สามารถทำได้ เป็น Work-Life Integration เพราะจิตเรามีดวงเดียว ธรรมะอยู่ที่จิต
- ต้องตั้งทัศนคติเอาไว้ให้ถูก โดยให้มีธรรมะทั้งที่บ้านและที่ทำงาน ไม่แยกกัน
- การรักษาอินทรีย์ 5 (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา) ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านหรือที่วัด ย่อมดี
Q7: ความรู้สึกผิดในอดีต
A: พระพุทธเจ้าสอนว่า “อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจในภายหลังเลย”
- ควรรู้สึกผิดตั้งแต่ตอนที่ทำไม่ดีนั้น
- แต่ถ้ามารู้สึกผิดทีหลัง ก็ยังดี เป็นการรู้สึกตัว ให้ตั้งใจว่าจะไม่ทำผิดอีก ก็จะหยุดความร้อนใจในภายหลังไว้เพียงเท่านี้
- สิ่งที่ทำผิดไปแล้ว มันล่วงไปแล้ว ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงการไม่ทำผิดซ้ำอีก นี่จะเป็นการให้อภัยตัวเองอย่างแท้จริง เป็นการปลดเปลื้องภาระทางใจ
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ปัญหาชีวิตคู่
- ปัญหาครอบครัว สามารถปรึกษาพระสงฆ์ได้ แต่จะผิดพระวินัย หากพระสงฆ์สนับสนุนให้คนแต่งงานกัน หรือแนะนำให้หย่าร้างกัน
- ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน แต่เมื่อแต่งงานแล้ว จะกลายเป็นเรื่องของสองครอบครัว ซึ่งแต่ละครอบครัวอาจมีความคิดเห็นไม่เหมือนกัน จึงเกิดปัญหาครอบครัวตามมา เช่น ปัญหาลูกสะใภ้กับแม่สามี ปัญหาสามีเข้ากับบ้านภรรยาไม่ได้ ปัญหาพฤติกรรมของลูก ปัญหาการเงินในครอบครัว ปัญหามือที่สาม ปัญหาการหย่าร้าง เป็นต้น
วิธีแก้ปัญหาครอบครัว
- ถ้าครอบครัวมีปัญหา ไม่รักกันเหมือนตอนแรก วิธีแก้ปัญหาโดยใช้ธรรมะข้อเดียว นั่นคือ “ตบะ”
- การจะรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี ให้พิจารณา “ประโยชน์ 3 กาล” และ “ประโยชน์ 3 ที่”
ประโยชน์ 3 กาล = ประโยชน์ในเวลาปัจจุบัน ประโยชน์ในเวลาต่อมา และประโยชน์ในเวลาต่อมาต่อมาอีก
ประโยชน์ 3 ที่ = ประโยชน์เกิดกับตนเอง ประโยชน์เกิดกับผู้อื่น และประโยชน์เกิดกับทั้งสองฝ่าย
“ตบะ และ “ขันติ"
- “ตบะ” หมายถึง ความอดทนในสิ่งที่อดทนได้ยาก (ขันติ) ซึ่งประกอบด้วยปัญญาในการกำจัดอกุศลธรรมออกไปจากจิตใจให้ได้
- ความอดทน ก่อให้เกิดประโยชน์ 3 กาล และประโยชน์ 3 ที่
- ความอดทน ก่อให้เกิดความเพียร นำไปสู่การบรรลุธรรมได้
- จิตใจของคนที่มีขันติ จะไม่หวั่นไหวสะเทือนไปตามโลกธรรม 8 จะเห็นได้ว่าโลกธรรม 8 เป็นของไม่เที่ยง สุขก็มี ทุกข์ก็มี
- คู่ครองที่มีความอดทน (ขันติ) ความอดทนจะค่อย ๆ บ่มเพาะคุณธรรมให้เกิดขึ้น จากนั้น คุณธรรมที่มี ความดีที่มี จะแผ่รัศมี ส่งอานิสงส์ให้คนที่อยู่รอบตัวปฏิบัติคุณธรรมเหล่านั้นได้เช่นกัน เปรียบดั่ง การเอาน้ำดี ไล่น้ำเสีย การเอาผ้าสะอาด เช็ดสิ่งที่สกปรก
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q1: บัญชีพระ บัญชีวัด
A: ตามธรรมวินัย เงินทองไม่ควรแก่สมณะ
- จึงให้มีไวยาวัจกร ผู้ที่ทำการแทนพระ ในการจัดการปัจจัยสี่อันควรแก่สมณะจะบริโภค
- ถ้าโอนเข้าบัญชีพระรูปเดียว ก็ไม่เป็นไปตามธรรมวินัย
- แต่ถ้าเป็นบัญชีวัด/มูลนิธิ ที่ไม่ได้เซ็นคนเดียว แต่ต้องเซ็นร่วมกันหลายคน อันนี้ได้
- “การให้ทาน การสละออก เป็นสิ่งที่ดี ที่ควรทำ แต่ต้องทำให้ถูกต้องตามรูปแบบ รัดกุม ไม่หละหลวม ก็จะเป็นผลดีกับทุกฝ่าย”
Q2: ข่าวพระมีผลต่อการทำบุญ
A: ความงมงาย = ตั้งศรัทธาไว้ไม่ถูก เช่น ตั้งศรัทธาไว้ที่ตัวบุคคล
- ศรัทธาที่ไม่มั่นคง ทำให้เกิดความคลอนแคลน เคลือบแคลงใจ เป็นวิจิกิจฉา
- ให้กลับมาตั้งศรัทธาให้ถูกต้องไว้ในพระพุทธ (การตรัสรู้) พระธรรม (คำสอน) พระสงฆ์ (การปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ)
Q3: การขอพร
A: สุดโต่ง 2 ข้าง 1. ขอพรแล้ว แต่ไม่ทำอะไรเลย 2. ทุกอย่าง ฉันต้องทำเองทั้งหมด อะไรก็ช่วยไม่ได้
- ทางสายกลาง = ศรัทธา+ปัญญา+อธิษฐาน+ลงมือทำ
- ศรัทธาที่ประกอบด้วยความงมงาย จะไม่เกิดกำลังใจในการลงมือทำจริง
- ศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญา จะรู้ว่าอะไรเป็นเหตุ เป็นผล
- การตั้งจิตอธิษฐาน คือ การตั้งใจมั่นอย่างแรงกล้า ที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
- เมื่อเจออุปสรรค ด้วยอำนาจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้
Q4: ทำนายฟัน ดูดวง ดูฤกษ์ยาม เสกคาถา เป่าร่ายมนต์
A: หากทำเพื่อเลี้ยงชีพ ก็เป็นมิจฉาอาชีวะ
- ศรัทธา มี 3 ระดับ
1. ไม่มีศรัทธาเลย
2. มีศรัทธา แต่ตั้งไว้ในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ที่ไม่เป็นสัจจะความจริง
3. มีศรัทธา และตั้งไว้ในเรื่องที่ถูกต้อง ที่เป็นสัจจะความจริง คือ อริยสัจสี่
Q5: ไม่ได้โกหก แต่พูดไม่หมด
A: มิจฉาวาจา ได้แก่ 1. พูดโกหก 2. พูดส่อเสียด พูดยุยงให้แตกกัน 3. พูดคำหยาบ 4. พูดเพ้อเจ้อ
- ถ้ามีเจตนาพูดไม่หมด เพื่อให้คนอื่นเดือดร้อน แม้ไม่ได้โกหก ก็เป็นมิจฉาวาจาในข้ออื่นได้ และแม้ว่าจะไม่ผิดศีล ก็เป็นบาปทางใจได้
Q6: พูดโกหก เพื่อให้รู้สึกดี
A: วิธีให้รู้ความจริง อาจไม่ได้บอกในครั้งแรก แต่ต้องหาเวลาบอกในโอกาสต่อ ๆ ไป ในเวลาที่เหมาะสม ที่ผู้ฟังจะรับความจริงได้
Q7: AI สอนนิพพาน
A: ใครก็ตามที่สอนตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ก็สามารถนำไปสู่การบรรลุพระนิพพานได้
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ช่วงไต่ตามทาง: เหตุแห่งความสำเร็จ
- ผู้ฟังท่านนี้ ก่อนฟังธรรมะ ประสบความสำเร็จในชีวิตหลายอย่าง เรียนเก่ง ทำงานดี ความสามารถสูง เดิมเข้าใจว่าความสำเร็จเหล่านี้เกิดเพราะความเก่งของตนเท่านั้น ต่อมา ได้ฟังธรรมะ จึงมีความเข้าใจใหม่ว่า ความสำเร็จเป็นเรื่องของการให้ผลของกรรมที่สะสมมาในชาติก่อน ทั้งบุญกิริยาวัตถุ 10 การให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา นอกจากนี้ ยังมีเหตุอันเกิดจากอุตุ เหตุแห่งการเตรียมตัวสม่ำเสมอ เหตุจากสุขภาพ ส่งผลให้เกิดสุขทุกข์ในปัจจุบัน
- เมื่อเข้าใจในเหตุเงื่อนไขปัจจัย และความเป็นอนัตตา (ไม่มีตัวตน) แล้ว ทิฏฐิและความยึดถือในตน จึงลดลง
- การฟังธรรมะ ทำให้กิเลสและความเศร้าหมองในจิตใจลดลง จิตใจมีความแจ่มใสมากขึ้น ความเครียดจึงลดลง สุขภาพดีขึ้น ผู้ฟังท่านนี้ก็มีจิตใจสบาย ไม่ถือตัว มีเหตุผล การงานก็ดีเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเกิดความคิดในงานดียิ่งขึ้น
ช่วงปรับตัวแปรแก้สมการ: วิธีออกแบบ “แผนของชีวิต”
- “ถ้าเราไม่มีแผนการดำเนินชีวิตของตัวเอง ก็จะต้องตกอยู่ในแผนการดำเนินชีวิตของผู้อื่น”
- “การไม่มีแผน นั่นแหละคือ แผนแห่งความล้มเหลวหรือความผิดพลาดทันที”
วิธีออกแบบ “แผนของชีวิต”
- เราต้องรู้ให้ได้ว่า เราต้องการอะไร/จะทำอะไร ในชีวิตข้างหน้า 1 ปี 10 ปี 20 ปี ...
- “ทางที่ใช่” จะรู้ได้ต่อเมื่อ “ลงมือทำ” โดย“ทำอย่างเต็มที่” จึงจะรู้ว่า “ชอบหรือไม่ชอบ” ในสิ่งนั้น
(1) “ทำเต็มที่”
- ต้องลงมือทำ = การลงมือทำ คือ ทางที่ใกล้ที่สุด เพื่อไปสู่จุดหมาย
เช่น การว่ายน้ำ/ขี่จักรยาน ต้องลงมือทำจึงจะเกิดทักษะนั้น ไม่ใช่อ่านคู่มือ
- การเจอปัญหา/อุปสรรค/ความผิดพลาด ไม่ใช่ความล้มเหลว ให้มี Mindset ว่า ปัญหานั้นจะนำไปสู่การพัฒนาและความก้าวหน้า
- อย่าไปโฟกัสที่ความล้มเหลวว่าทำไม่ได้ เพราะจะเกิดความกลัวและคิดล้มเลิก แต่ให้โฟกัสจดจ่อในจุดที่ว่า ทำอย่างไรถึงจะทำได้ สิ่งนั้นจะมีพลัง
- ล้มแล้วอย่าเหลว ต้องล้มแล้วลุกให้ได้ นั่นคือ การพัฒนา เป็นความก้าวหน้า เช่น เด็กทารกฝึกเดินด้วยตนเอง
- การทำเต็มที่ = ทำด้วยศรัทธา (กำลังใจ) มีความเพียร (ทำจริงแน่วแน่จริง) มีสติ ระลึกได้ จดจ่อในเป้าหมายที่เราต้องการ จะเกิดเป็นสมาธิในงานที่ทำ (อินทรีย์ 5+อิทธิบาท 4) และจะเกิดปัญญา เห็นทิศทางที่ต้องดำเนินต่อไป
(2) “ความชอบหรือไม่ชอบ”
- ความชอบหรือไม่ชอบในที่นี้ = ไม่ใช่ความพอใจ/ไม่พอใจ (ตัณหา) แต่หมายถึง เห็นด้วยปัญญา ว่าใช่หรือไม่ใช่ ทำให้จิตใจเราตั้งอยู่ได้หรือไม่
(3) ขอคำแนะนำจากผู้รู้
- ผู้ที่เคยไปถึงเป้าหมายนั้นมาก่อน เช่น พระพุทธเจ้า บรรลุเป้าหมาย คือ นิพพานแล้ว
โดยสรุป:
- คนที่จะบอกได้ว่าชีวิตเราต้องการอะไร ไม่ใช่คนอื่น แต่คือตัวเราเอง เราต้องทำจิตใจให้สว่าง ด้วยการมีปัญญา ซึ่งต้องอาศัยสมาธิ และการลงมือทำจริง แน่วแน่จริง (ความเพียร) มีความมั่นใจ (ศรัทธา) มีสติ มีการพัฒนาจากข้อผิดพลาดต่าง ๆ
- งานที่ทำเต็มที่ ด้วยหลักอินทรีย์ 5 ประกอบอิทธิบาท 4 จะเกิดปัญญา เห็นช่องทางไปต่อ ความแจ่มแจ้งในใจจะปรากฏขึ้นว่างานนั้น ใช่หรือไม่ใช่ เพียงแค่คิดอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องลงมือทำ
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q1: ทำบุญแล้ว พระเอาไปใช้ในทางไม่ถูก จะได้บุญหรือไม่
A: บุญมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ
1. ศรัทธาของผู้ให้ = ทั้งก่อน ในระหว่าง และหลังให้
- ศรัทธานั้นไม่ได้ตั้งอยู่กับตัวบุคคล
- ศรัทธานั้นไม่ใช่ความงมงาย
2. ศีลของผู้รับ = มีราคะ โทสะ โมหะ มากหรือน้อย
Q2: ทำบุญต้องหวังผล
A: วิธีทำบุญมี 3 อย่าง คือ การให้ทาน การรักษาศีล และการภาวนา
- ทำบุญต้องหวังผล หากผลที่หวังนั้น คือ นิพพานหรือการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ก็ต้องเลือก/พิจารณาการทำบุญนั้นให้ดี เช่น บุญจากการให้ทาน ต้องเลือกผู้รับที่เป็นเนื้อนาบุญ คือ มีราคะ โทสะ โมหะ น้อย โดยดูจากข้อวัตรปฏิบัติ ทางกาย วาจา ใจ ต้องใกล้ชิดและใช้เวลาดู
- บุญจากการให้ทาน เกิดได้ 3 ช่วงเวลา คือ ก่อนให้ ระหว่างให้ และหลังให้ ถ้าก่อนให้และระหว่างให้ มีศรัทธา ก็ได้บุญ แต่หากต่อมามีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับพระ แล้วเสื่อมศรัทธา บุญที่เกิดหลังให้ก็จะไม่ได้
- จึงไม่ควรตั้งศรัทธาไว้ที่ตัวบุคคล แต่ให้ตั้งศรัทธาไว้ที่สถาบันสงฆ์ ซึ่งไม่ได้หมายถึงบุคคล แต่คือ การปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
- เมื่อตั้งศรัทธาไว้ที่การปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ อย่างไม่คลอนแคลนแล้ว บุญก็จะไม่ลด ดังนั้น อย่าเอาการที่คนอื่นทำไม่ดี มาตัดกระแสบุญของเรา
Q3: ตู้ชำระหนี้สงฆ์
A: สมัยพุทธกาลไม่มี เพิ่งมีขึ้นในภายหลัง เริ่มจากประเพณีขนทรายเข้าวัด ที่มองว่าไปวัดแล้วเอาของวัดติดมาด้วย จึงต้องใช้หนี้วัด
Q4: บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นในวัด
A: สมัยก่อนไม่มีพระพุทธรูป การบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จึงทำที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปวัด แต่การไปวัด คือ การไปรวมตัวกันเพื่อฟังธรรมจากผู้รู้ ไปทำความสงบ
- ถ้าจะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ต้องบูชาในคุณธรรม ความดี ไม่ใช่บูชาเพื่อขอผล
Q5: เพาะพันธุ์แมวขาย
A: เป็นการค้าขายสัตว์เป็น
- ให้ทำอาชีพอื่นที่ไม่เสี่ยงเป็นบาป และมีเวลาว่างในการปฏิบัติธรรมมากขึ้น จะดีกว่า
Q6: ทีฆชาณุสูตร
A: ทีฆชาณุสูตร = ประโยชน์ในปัจจุบัน 4 ประการ และประโยชน์ในอนาคต 4 ประการ
- ประโยชน์ในอนาคต 4 ประการ คือ ศีล ศรัทธา จาคะ ปัญญา
Q7: ถวายตั๋วรถไฟให้พระ
A: โยมท่านหนึ่งเจอพระที่สถานีรถไฟ ตั้งใจจะถวายตั๋วรถไฟให้พระ แต่พระให้ถวายเป็นเงินแทน จึงไม่ได้ถวายให้
- ที่โยมทำ เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามธรรมวินัยแล้ว
- การที่ไม่ได้ถวายเงินให้พระ เป็นสิ่งที่ถูกตามธรรมวินัยแล้ว เป็นการช่วยพระรักษาศีล ได้บุญ
Q8: บูชาบุคคลที่ควรบูชา
A: บุคคลที่ควรบูชา ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระสงฆ์ (ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ) ผู้มีศีล มารดาบิดา (ผู้มีอุปการะก่อน) ผู้มีพรหมวิหาร 4 บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ เทวดา (ผู้มีศีล ศรัทธา จาคะ ปัญญา)
Q9: การยึดติดกับสิ่งสมมติ
A: การยึดถือ (อุปาทาน) เกิดจาก ความเพลิน ความพอใจ หากมีในสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน
- ต้องมีสติ จึงจะไม่เพลิน ก็จะไม่ยึดถือในสิ่งที่สมมติเหล่านั้น
- ต้องฝึกการมีสติอยู่เรื่อย ๆ ให้มีกำลังมากขึ้น ความเพลินก็จะค่อย ๆ ลดลง
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ช่วงไต่ตามทาง: ปัญหาชีวิตคู่
- ผู้หญิงท่านหนึ่งแต่งงานเข้าบ้านสามี ไม่ใช่เรื่องของคน 2 คน เท่านั้น แต่เป็นเรื่องของ 2 ครอบครัว ต้องปรับตัวหลังแต่งงาน มีตัวแปรหลายอย่างเพิ่มขึ้น เช่น แม่สามี คนในครอบครัวสามี ลูก ปู่ย่าตายาย เกิดการกระทบกระทั่งกัน สามีลงไม้ลงมือ ไม่มีความสุขในครอบครัว
- อำนาจของกิเลส ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน
ช่วงปรับตัวแปรแก้สมการ:
เรื่องเล่า “ใครน่ากลัวมากที่สุด”
- ประชาชนกลัวพระราชา พระราชากลัวนักรบที่ทรยศ นักรบกลัวโจรที่ไม่มีระเบียบวินัย โจรกลัวภรรยาด่า ภรรยากลัวคนนิ่ง ไม่เถียงกลับ
เรื่องเล่า “ครอบครัวอยู่เป็นสุข ด้วยน้ำมนต์คุณยาย”
- สามีภรรยาคู่หนึ่ง ทะเลาะกันมาก เถียงกันวันเว้นวัน เกิดความระอาใจ ต่างคนต่างไม่ยอมกัน คิดว่าอีกฝ่ายเป็นต้นเหตุของปัญหา ภรรยาไปปรึกษาคุณยายว่าทำอย่างไรถึงอยู่กับคุณตาได้อย่างสงบ คุณยายจึงให้น้ำมนต์มา และกำชับว่าเมื่อสามีเข้ามาในเขตบ้านเมื่อไร ให้ภรรยาอมน้ำมนต์ไว้ในปาก จนกว่าสามีจะกินข้าวเสร็จ จึงค่อยบ้วนทิ้ง ให้ทำติดต่อกันเจ็ดวัน
- ผลปรากฏว่า สามีภรรยาไม่ได้ต่อคำซึ่งกันและกัน จึงไม่มีเรื่องให้ทะเลาะกันอีก
ความนิ่ง
- “ความนิ่ง” เป็นทางลัดที่จะนำไปสู่ความสงบ
- “ความนิ่ง” เป็นการเอาชนะการโต้เถียงกัน
- ชี้แจงได้ แต่ถ้าชี้แจงแล้วไม่เกิดประโยชน์ ก็ให้นิ่งเสีย
- ให้อดทน ยังไม่พูดขณะเกิดปัญหา รอให้อารมณ์เย็น บรรยากาศเหมาะสม จึงค่อยพูดคุยกัน
- “การนิ่ง” เป็น 1 ใน 4 ของฆราวาสธรรม 4 ในเรื่อง “ขันติ” (ความอดทน)
ฆราวาสธรรม 4 กับการใช้ชีวิตคู่
ฆราวาสธรรม 4 เป็นหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงให้ไว้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของคนคู่ หรือผู้ครองเรือน
1. สัจจะ (ความจริง) = มีความไว้วางใจต่อกัน มีความจริงใจต่อกัน ทั้งทางกาย วาจา ใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
2. ทมะ (การฝึกตน) = มีความข่มบังคับใจต่อผัสสะที่ไม่น่าพอใจ
3. ขันติ (ความอดทน) = มีความนิ่ง อดทนต่อสิ่งที่เป็นอกุศลธรรม
- ความอดทน (ละอกุศลธรรมด้วยสติและปัญญา) ไม่ใช่ ความเก็บกด (เก็บอกุศลธรรม ราคะ โทสะ โมหะ)
4. จาคะ (ความเสียสละ) = ยอมให้กัน ลดทิฏฐิมานะ ลดความเอาแต่ใจ เสียสละทั้งสองฝ่าย ประนีประนอมกัน
- การครองเรือนไม่ใช่งานง่าย ๆ มีภาระมาก ทุกข์ของผู้ครองเรือนมีมากกว่าการออกบวช
- ปัญหาครอบครัว เกิดจากการขาดฆราวาสธรรม 4 ข้อใดข้อหนึ่ง
- ยิ่งมีคนในครอบครัวที่เกี่ยวข้องกันมากเท่าไร ยิ่งต้องเพิ่มฆราวาสธรรม 4 ให้มากขึ้นเท่านั้น
- หากพยายามปรับตัวแล้ว ให้เวลาแล้ว ไม่ดีขึ้น ก็ลองแยกกันอยู่ ห่างกันสักพัก
- ถ้าพิจารณาแล้วครอบครัวไม่มีฆราวาสธรรม 4 อยู่เลย และต้องเลิกกันจริง ๆ เพราะอยู่กับคนพาลไม่ดี ก็ให้เลิกกันด้วยดี ไม่คิดร้าย ไม่พยาบาท
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q1: นำของจากวัด มาใช้ส่วนตัว บาปหรือไม่
A: ต้องแยกประเด็นก่อนว่าสิ่งของนั้น ถวายให้ “สงฆ์” (หมู่, วัด, ไม่เจาะจงบุคคล) หรือ “ภิกษุ” (เจาะจงบุคคล)
- กฎของสงฆ์ = หากญาติโยมจะน้อมลาภปัจจัยอันใดอันหนึ่งถวายเพื่อหมู่สงฆ์ ถ้ามีภิกษุบอกให้ถวายแก่ท่านเพียงรูปเดียว ภิกษุรูปนั้นเป็นอาบัติ (ความผิดน้อมลาภของหมู่เข้าสู่ตัวเอง)
- รูปแบบการแบ่งสิ่งของของสงฆ์ = ตักอาหารไล่จากภิกษุผู้มีพรรษามากไปหาน้อย, เก็บสิ่งของไว้ในคลังแล้วไปเบิกเมื่อต้องการใช้, จับสลาก
- ดังนั้น หากเป็นสิ่งของของหมู่สงฆ์ ถ้าญาติโยมจะเอาไปใช้ ก็ต้องขออนุญาตหมู่สงฆ์ เช่น เจ้าอาวาสผู้ได้รับมอบหมายให้ตัดสินใจแทนหมู่สงฆ์, หมู่สงฆ์เกิน 4 รูป ประชุมกันแล้ว ไม่ใช่ขออนุญาตภิกษุรูปเดียว เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว =ไม่เป็นการถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ = ไม่บาป, ไม่ผิดศีล
Q2: ใช้สิ่งของของคนตาย
A: สิ่งของของคนตาย = ไม่มีเจ้าของ
- คนตายไปแล้วไม่สามารถเรียกร้องว่าเป็นของตนได้อีกต่อไป ตัวอย่าง พระเจ้าปเสนทิโกศล ชี้ว่าสิ่งของนั้นเป็นของปู่ ของพ่อ ซึ่งตายไปแล้วแต่เอาไปไม่ได้
Q3: พระให้ถังสังฆทาน
A: สังฆทาน = ทานที่ให้แก่หมู่สงฆ์ ไม่ได้ให้เฉพาะเจาะจงบุคคล ไม่จำกัดรูปแบบว่าต้องเป็นถัง
- ถ้าภิกษุนั้นได้รับมอบฉันทะจากหมู่สงฆ์ให้สละได้ เช่น เจ้าอาวาส ผู้ได้รับก็เอาไปใช้ได้ จะเอาไปให้ใครต่อก็ได้
Q4: นำของที่ได้รับมาไปถวายต่อให้พระ
A: ทำได้ ผู้ให้ทอดแรกก็ได้บุญด้วย
Q5: ใส่บาตร ไม่ใส่น้ำดื่ม
A: มีอะไรก็ใส่บาตรได้ ใส่เท่าที่มี
- บาตร จะใส่ได้เฉพาะของที่กลืนล่วงลำคอเท่านั้น
- ผู้ให้ทานแต่ละคน มีความละเอียดประณีตแตกต่างกัน
Q6: ทำบุญไม่เกินตัว
A: “คนฉลาดในการให้ทาน จะไม่เบียดเบียนตนเอง ผู้อื่น หรือทั้งสองฝ่าย”
- ความบริสุทธิ์ของบุญจากการให้ทานมากน้อย ขึ้นอยู่กับ
1. ผู้ให้ = มีศรัทธา มีศีล
2. ผู้รับ = มีราคะ โทสะ โมหะ น้อย
3. ของที่ให้ = ได้มาโดยบริสุทธิ์
- จำนวนเงิน, สิ่งของ ที่ให้ทาน ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักว่าจะได้บุญมากหรือน้อย
- การให้ทาน = เป็นไปเพื่อการสละออก ไม่ใช่เพื่อความยึดถือว่าต้องได้ผลของทาน
- การสร้างบุญนอกจากการให้ทานแล้ว ยังมีบุญเหล่าอื่น ได้แก่ การรักษาศีล การภาวนา ได้บุญมากกว่าให้ทาน นำไปสู่การอยู่เหนือบุญ เหนือบาป ได้
Q7: เรียนภาษาบาลี
A: การเข้าใจรูปแบบของภาษาบาลี ทำให้ได้รู้ความคิดของผู้พูด
- การเรียน = การฝึกฝนทักษะใหม่
- ถ้าเอื้อเฟื้อรับฟังคำตักเตือนของผู้สอน ด้วยความเคารพหนักแน่น ก็จะสามารถไปได้
Q8: ทำงานที่ไม่ชอบ กับคนที่ไม่ชอบ
A: ต้องตั้งสติไว้ให้มาก เปรียบเหมือนเข้าป่าที่มีหนามเยอะ ต้องระมัดระวังอย่างมาก
- ต้องตั้งสติไว้ให้ดี อย่าทำในสิ่งที่เป็นอกุศลธรรม เพื่อตอบโต้สิ่งไม่ดีที่คนอื่นทำ
- ตั้งสติโดยนึกถึงลมหายใจ, พุทโธ, กายคตาสติ เป็นต้น
- ความชอบในงาน = ปรับจิตเราได้ = อย่าเพลินไปตามสิ่งที่ชอบใจ (ความสบาย) ก็จะสามารถปรับจิตเพื่อการทำงานทั้งที่ชอบและไม่ชอบได้
- หลักธรรมที่ทำให้มีความสุขในการทำงาน คือ สังคหวัตถุ 4
1. ทาน = แบ่งปันสิ่งของให้กัน
2. ปิยวาจา = พูดจาดีต่อกัน
3. อัตถจริยา = ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
4. สมานัตตตา = เสมอต้นเสมอปลาย ร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่เอาเปรียบ เห็นประโยชน์ส่วนรวม
Q9: Social Media กระทบกับการทำงาน
A: ปิดไปเลย, เอาโทรศัพท์ไปไว้อีกห้องหนึ่ง ให้เข้าถึงไม่ได้ในช่วงเวลานั้น
- แบ่งเวลาใช้ Social Media ให้เหมาะสม
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ช่วงไต่ตามทาง: เป็นประสาท เพราะสามีมีหญิงอื่น
- ผู้หญิงท่านหนึ่ง เจอผัสสะที่ไม่น่าพอใจอย่างมาก แบบไม่ทันตั้งตัว จับได้ว่าสามีมีหญิงอื่น เกิดอาการมึน นอนไม่หลับ หัวเราะ ร้องไห้ หลายความคิดเกิดขึ้น คิดวน หาทางออกไม่เจอ จะเป็นประสาท
เปรียบเหมือนกับ “ถูกยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษ”
- ลูกศรอาบยาพิษ = ตัณหา (ราคะ โทสะ โมหะ)
- พิษ = อวิชชา
- แผล = ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (ต้องใช้สติ เป็นเครื่องมือตรวจหาว่าลูกศรที่แทงอยู่ตรงไหน)
- มีดปาดแผลเอาลูกศรออก = ปัญญาที่มีความคม
- บีบหนองที่แผลออก = กำจัดสิ่งไม่ดีออก อย่าไปทำอีก เช่น การด่า การคิดไม่ดี การทำร้ายผู้อื่น
- ยาใส่แผล = เจริญศีล สมาธิ ปัญญา เมตตา กรุณา อุเบกขา
- ไม่ให้แผลกำเริบ ไม่กินของแสลง ไม่ให้แผลโดนลมโดนแดด = อย่าทำสิ่งที่เป็นอกุศลเพิ่ม และอย่าคิด อย่าคุย อยู่ห่าง ๆ สิ่งที่จะกระตุ้นให้เกิดความโกรธนั้นขึ้นมาอีก
- ตัวเรา คือ ผู้ที่รู้ว่าเจ็บตรงไหนได้ดีที่สุด พระพุทธเจ้าให้ยาไว้แล้ว ก็ให้ใส่ยาให้ตรงแผลที่สุด ก็จะหายจากโรค (ความเข้าใจผิด) นี้ได้
- ธรรมะรักษานี้ แม้จะต้องเจ็บบ้าง แต่ถ้าไม่รีบรักษา เชื้ออาจลุกลาม จนต้องตัดอวัยวะหรือเสียชีวิต
- ทางที่ดี ควรป้องกันไม่ให้ถูกแทงด้วยลูกศรอาบยาพิษแต่แรก โดยสำรวมอินทรีย์ รักษาศีล ไม่เพลิน ไม่หลง เห็นตามความเป็นจริง
ความรักแบบเมตตาหรือราคะ
- “ความรัก” อยู่ตรงไหน ภัยอันตรายอยู่ตรงนั้น เพราะสิ่งที่รักที่พอใจ ย่อมเปลี่ยนแปลงไป ไม่เที่ยง นี่คือความจริง
- ต้องมีสติ ทำจิตให้นิ่งเป็นสมาธิ จะเกิดปัญญาเห็นตามความเป็นจริง แยกได้ว่าเป็นความรักแบบเมตตาหรือราคะ ให้ถอนราคะออก เหลือไว้แต่เมตตา
- ความจริงเป็นของดี กุศลธรรมเกิดขึ้นได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าสุขเวทนาหรือทุกขเวทนา ก็ให้เข้าใจว่าสุขทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา และเลือกที่จะสร้างสิ่งที่เป็นกุศล
ช่วงปรับตัวแปรแก้สมการ: สัญญาณบ่งบอกความบ้า
1.ทางด้านพฤติกรรม = นอนไม่หลับ นอนมากเกินไป เบื่ออาหาร กินมากขึ้น ใช้จ่ายมากขึ้น หาอบายมุขเพื่อให้เกิดความสุขในตอนนั้น เช่น สุรา บุหรี่ ยาเสพติด เล่นโซเซียลมากเกินไป
2. ทางด้านอารมณ์ = เพ้อ อาละวาด เครียดตลอดเวลา หวาดระแวง กังวลใจไปหมด
3. ทางด้านความคิด = จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ ตัดสินใจในเรื่องเล็กน้อยไม่ได้ คิดว่าจะมีคนทำร้าย เห็นภาพหลอน ได้ยินเสียงแว่ว คิดทำร้ายตัวเอง
โรคประสาทมีในทุกคน
- คนบ้า คือ คนที่ยังมีราคะ โทสะ โมหะ
- จะเกิดความวิปลาส 4 อย่าง
1. เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง
2. เห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข
3. เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน (อนัตตา) ว่าเป็นตัวเราของเรา
4. เห็นสิ่งไม่งาม (อสุภะ) ว่าเป็นของงาม
ราคะ โทสะ โมหะ ทำให้ไม่เป็นตัวเอง
ราคะ = ความหิว ความต้องการ
โทสะ = ความร้อน ความโกรธ ความไม่พอใจ
โมหะ = ความไม่เข้าใจ ความมึน ความมืด
วิธีการกำจัดราคะ โทสะ โมหะ
- ใช้สติ = ตรวจหาลูกศรอาบยาพิษ
- ใช้ปัญญา = มีดปาดแผลเอาลูกศรออก
- ใช้ศีล สมาธิ ปัญญา เห็นตามความเป็นจริง เมตตา กรุณา อุเบกขา = ใส่ยาที่แผลทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
- แผลหาย = กำจัดอวิชชาซึ่งเป็นรากของราคะ โทสะ โมหะ ออกไปจากจิตได้ ไม่วิปลาสอีกต่อไป เป็นผู้ที่พ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q1: หนังสือสุทธิของพระ
A: หนังสือสุทธิของพระ เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการบวช เช่น วันที่บวช พระอุปัชฌาย์ วัดที่สังกัด สมณศักดิ์ ข้อมูลทะเบียนราษฎรบางส่วน (เลขบัตรประจำตัวประชาชน มารดาบิดา สัญชาติ)
Q2: การรับเงินของพระ
A: พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ชัดเจนว่า “เงินและทองไม่ควรแก่สมณะ เงินและทองควรแก่ผู้บริโภคกาม”
- พระสงฆ์ยินดีในทองและเงินที่เก็บไว้ให้ไม่ได้ เป็นอาบัติ
- วิธีที่จะทำให้เกิดความบริสุทธิ์ ความบริบูรณ์ ตามธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ และไม่เป็นการขวางทางบุญของผู้ให้ทาน คือ
1. ญาติโยมสามารถให้เงินไว้กับไวยาวัจกร แล้วบอกว่าเป็นเงินสำหรับปัจจัยสี่ของพระในเรื่องใด ให้ไวยาวัจกรเป็นผู้จัดการดูแลให้
2. เมื่อพระต้องการปัจจัยสี่ใด ก็ไปบอกไวยาวัจกรให้จัดหาให้ แต่จะไปเบิกเป็นเงินไม่ได้ ไวยาวัจกรก็จะนำเงินที่ญาติโยมให้ไว้นำไปจัดหาสิ่งของนั้นให้พระ
Q3: นรกสวรรค์ เป็นสิ่งสมมติ
A: อยู่ที่มุมมองต่อสิ่งที่มากระทบ
- นรก = การได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในสิ่งที่ไม่น่าพอใจ
- สวรรค์ = การได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในสิ่งที่พอใจ
- เมื่อมีผัสสะมากระทบ อาจถูกกิเลสบิดเบือนทำให้การรับรู้ของจิตผิดเพี้ยนไปในทางร้อน ทางหิว ทางมืด ตามอำนาจของราคะ โทสะ โมหะได้
- หากไม่มีกิเลส ก็จะเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริงด้วยปัญญาว่า ทุกขเวทนาและสุขเวทนาที่เกิดขึ้น ก็เป็นธรรมดาอย่างนั้น จิตก็จะอยู่เหนือบาป เหนือบุญ เหนือสวรรค์ เหนือนนรก เป็นสภาวะหลุดพ้น (นิพพาน) ซึ่งมรรค 8 เป็นทางที่นำไปสู่ทางหลุดพ้นนี้ได้
Q4: ผู้ไม่ถูกนินทา ย่อมไม่มีในโลก
A: สุข-ทุกข์ นินทา-สรรเสริญ มีลาภ-เสื่อมลาภ มียศ-เสื่อมยศ (โลกธรรม 8) = เป็นของโลก โลกจะหมุนไป เปลี่ยนแปลงไปอย่างนี้ เดี๋ยวมี เดี๋ยวไม่มี
- ถ้าผิดจริงก็ปรับปรุงแก้ไข แต่ถ้าไม่ได้ทำผิด ก็อย่าถือคำด่าคำนินทานั้นเป็นสาระ ให้ทำความดีต่อไปเรื่อย ๆ
Q5: ผู้ชี้ขุมทรัพย์
A: เรื่องนี้อยู่ในกินติสูตร
- ผู้ที่ตักเตือนผู้อื่น เป็นกัลยาณมิตร มีความเป็นผู้นำ มีพรหมวิหาร 4
1. ถ้าพูดเตือน ณ ตอนนั้น แล้วเขาไม่เคือง = ก็พูดตอนนั้นได้เลย
2. ถ้าพูดเตือน ณ ตอนนั้น แล้วเขาจะเคือง = ก็อย่าเพิ่งพูด ให้หาเวลาและวิธีการอื่นที่พูดแล้วเขารับได้ เช่น เวลากินข้าว
3. ให้เห็นว่าความขัดเคืองของเขาเป็นเรื่องเล็กน้อย เมื่อเทียบกับการที่เขาจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ = ก็ต้องพูด
4. ถ้าพูดเตือนแล้ว เขาจะเคือง และจะไม่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแน่ ๆ = ก็ต้องใช้อุเบกขา
- อย่ามีจิตใจที่คิดว่า “เรื่องของเขา เราจะไม่ยุ่ง” อันนี้เป็นโมหะ แต่ให้มีพรหมวิหาร 4 พิจารณาตามลำดับข้างต้น
Q6: ไม่ควรไว้ใจในคนไม่คุ้นเคย แม้ในคนคุ้นเคยก็ไม่ควรไว้ใจ
A: ไว้ใจ = เพลิน, ประมาท, ถือวิสาสะ ไม่ได้หมายความว่า ไม่เชื่อใจ
- ต่อให้เป็นคนคุ้นเคยกัน ก็ต้องระมัดระวัง เกรงใจกัน ไม่ถือวิสาสะ ไม่ประมาท
Q7: ลดผลกรรมจากอาชีพฆ่าสัตว์
A: ลดผลของกรรม = เพิ่มปริมาณความดี
- ให้ทำความดีอย่างอื่น ไม่ประมาทในการให้ทาน ไม่ประมาทในการรักษาศีลข้ออื่น ไม่ประมาทในการเจริญภาวนา และให้ตั้งจิตอธิษฐานที่จะทำมาหากินอย่างอื่นที่ไม่ต้องฆ่าสัตว์
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ช่วงไต่ตามทาง:
- ผู้ฟังท่านนี้ เคยเป็นคนมีความสงสัยมาก แต่เมื่อได้ฟังธรรมะจากครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ทำให้มีความเข้าใจมากขึ้น จิตใจเย็นลง ความสงสัยในเรื่องต่าง ๆ จางคลายไป ระงับไป
ช่วงปรับตัวแปรแก้สมการ: วิธีคิดที่ไม่มีทางผิด
- อปัณณกสูตร การปฏิบัติที่ไม่มีทางผิด
เรื่องที่ 1 อุปมาเหมือนลูกเต๋าที่ปรับแต่งถ่วงน้ำหนักไว้แล้ว ยังไงก็ลงด้านนี้ตลอด ใช้เป็นกลโกงในการเล่นพนัน ก็แต่คนดีก็สามารถนำมาวิธีคิดให้ได้เปรียบมาใช้กับสถานการณ์เพื่อให้ตั้งอยู่ในความดีได้ตลอด ไม่เผลอเพลิน มีสติ ทำสิ่งที่เกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเอง ผู้อื่น หรือทั้งสองฝ่าย ทั้งในปัจจุบันและในเวลาต่อ ๆ ไป
เรื่องที่ 2 พ่อค้าเดินทางด้วยเกวียนไปค้าขายต่างเมือง ต้องผ่านเส้นทางที่มียักษ์คอยหลอกลวงจับพ่อค้ากิน พ่อค้าเห็นว่าถ้าข้ามไปได้จะค้าขายได้กำไรมาก จึงเตรียมตัวบริหารความเสี่ยงต่าง ๆ เช่น เตรียมน้ำไปให้เกินพอดีนิดหน่อยสำหรับการเดินทาง สั่งลูกน้องไม่ให้ใช้น้ำเกินและอย่าเชื่อคนที่เจอระหว่างทาง
ความเสี่ยงสูง แต่คุ้มที่จะทำ
- ในทุกเรื่อง ถ้าไม่มีความรู้ ไม่มีปัญญา ก็จะมีความเสี่ยงสูง แต่ถ้าจะเกิดผลตอบแทนที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเอง ต่อผู้อื่น หรือทั้งสองฝ่าย และเกิดประโยชน์ทั้งในเวลาปัจจุบันและในเวลาต่อ ๆ ไปอีก แม้จะมีความเสี่ยงมาก แต่ก็คุ้มที่จะทำ โดยสามารถลดความเสี่ยง ด้วยการเพิ่มความรู้ ลดความยาก ด้วยการเพิ่มความเพียรได้
วิธีคิดที่ไม่มีทางผิด
1. มีระบบที่จะป้องกันความเสี่ยงล่วงหน้า (มีปัญญา โยนิโสมนสิการ)
2. มีระเบียบวินัยที่จะทำตามระบบนั้น (มีวิริยะ มีความเพียร)
3. หากเกิดความผิดพลาด ให้รีบแก้ไข
4. มีความยืดหยุ่น เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ได้ แต่ต้องไม่เสี่ยงจนเกินไป
วิธีคิดในการกระทำมี 2 แบบ
1. ยังไงก็ผิด = เป็นความวิบัติ 3 อย่าง คือ ศีลวิบัติ จิตวิบัติ และทิฏฐิวิบัติ
2. ยังไงก็ไม่ผิด = เป็นความถึงพร้อม 3 อย่าง คือ ศีลสัมปทา จิตสัมปทา และทิฏฐิสัมปทา
ข้อปฏิบัติ 3 อย่าง ที่ไม่มีทางผิด
1. การคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย = สำรวมอินทรีย์ ระวังอย่าให้บาป อกุศลธรรมเกิดขึ้น
2. การรู้ประมาณในการบริโภค = อย่ากินมากเกินไป กินพอระงับเวทนา ไม่กินเพื่อเล่น, มัวเมา, ประดับตกแต่ง
3. การประกอบความเพียรเครื่องตื่นอยู่เนือง ๆ = ทำความเพียรในการเดินจงกรม นั่งสมาธิ อยู่เป็นประจำ
- ถ้ามีความคิดนึกตริตรึกใน 3 เรื่องนี้อยู่เสมอ จะทำให้การปฏิบัติไม่ว่าเรื่องใด มีแต่จะดีท่าเดียว
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q1: พระสูตรภาษาอังกฤษ
A: พระสูตร 2 ภาษา (ไทย-อังกฤษ) รับฟังได้ 4 ช่องทาง
1. FM 88.00 MHz ทุกวัน เวลา 05.00-05.30 น.
2. Youtube ช่องปัญญาภาวนา รายการ PureDhamma
3. Podcast ช่องปัญญาภาวนา รายการ PureDhamma
4. www.panya.org
- รายการ Sunday Dhamma talk เดือนละครั้ง ทุกวันอาทิตย์ที่สามของเดือน ทาง FM 88.00 MHz เวลา 08.00 น.
Q2: ค้าขายอาวุธ
A: สำหรับอุบาสกอุบาสิกา ที่มีจิตใจน้อมตั้งดิ่งอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ควรค้าขาย 5 อย่าง ได้แก่ 1. อาวุธ 2. สัตว์เป็น 3. สัตว์ตาย (เนื้อสัตว์) 4. สุรา 5. ยาพิษ
- แม้การค้าขาย 5 อย่างนี้ จะไม่ผิดศีล แต่เป็นไปเพื่อการสนับสนุนให้มีการทำผิดศีล จึงมีส่วนได้รับบาปนั้นด้วย
- เพื่อไม่ให้ได้รับส่วนแห่งบาป อันจะเป็นตัวปิดกั้นทางสู่มรรคผลนิพพาน ให้ค้าขายอย่างอื่นหรือทำอาชีพอื่น
- ยุทโธปกรณ์ที่ใช้สำหรับป้องกันอาวุธเข้ามาโจมตี ถือว่าเป็นอาวุธเช่นกัน เพราะขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าจะนำใช้ไปทางไหน จึงถือเป็นการค้าขายอาวุธ
- การปรับเปลี่ยนความรู้ ความสามารถ เทคโนโลยี ไปในทางไม่เบียดเบียน เกิดประโยชน์กับตัวเองหรือผู้อื่น คือทางที่ถูกต้อง
Q3:ค้าขายเนื้อสัตว์
A: บุญ บาป เป็นคนละบัญชี
- การค้าขายเนื้อสัตว์ ไม่ได้ผิดศีล
- คนขายเนื้อสัตว์ อย่าทำผิดศีลและสร้างบุญในรูปแบบอื่น เช่น รักษาศีลให้ดี เจริญสมาธิ ทำทาน ค่อย ๆ ลดการเบียดเบียนลง และตั้งจิตอธิษฐานในการเปลี่ยนอาชีพ
Q4: การซื้อหุ้นของบริษัทค้าอาวุธ
A: แบบแรก ซื้อหุ้นแบบวิเคราะห์สถิติ ซื้อมาขายไป = ไม่เป็นการสนับสนุนการค้าอาวุธ
แบบสอง ซื้อหุ้นแบบพื้นฐาน มองธุรกิจ ผลประกอบการในช่วงมีการรบ คาดว่าจะได้กำไรจึงลงทุน = เป็นการสนับสนุนการค้าอาวุธ
Q5: เนื้อวัว VS เนื้อหมู
A: การฆ่า ไม่ดีทั้งหมด
- สัตว์ที่ฆ่า บาปไม่เท่ากัน ดูจากตัวเล็กตัวใหญ่ มีบุญคุณมากน้อย สัตว์นั้นเบียดเบียนมากหรือน้อย
- คนที่ค้าขายเนื้อสัตว์ เมื่อรู้ว่าประมาทแล้วแต่ยังออกมาไม่ได้ ก็ต้องไม่ประมาท อาจลดการฆ่าหรือลดกินเนื้อสัตว์บางประเภท
Q6: ละความโกรธ
A: ไม่ควรโกรธใครเลย
1. ใช้ “เมตตา” ช่วยละความโกรธ
2. ใช้ “กรุณา” เพื่อยับยั้งการตอบโต้ของเรา, แนะนำเขาให้ดีขึ้น
3. ใช้ “อุเบกขา” หยุดจิตของเราไม่ให้ไปในทางอกุศล ให้ตั้งจิตวางเฉยต่อผัสสะที่มากระทบว่า “สัตว์โลกมีกรรมเป็นของของตน เขาทำกรรมอย่างไร ก็จะได้รับผลอย่างนั้น เขาเบียดเบียนผู้อื่น เขาก็มีกรรมของเขา ถ้าเราเบียดเบียนเขา เราก็จะมีกรรมของเรา อย่ากระนั้นเลย เราก็จะไม่เบียดเบียนใคร”
Q7: ภัยธรรมชาติ เกิดจากกรรมใด
A: ทุกขเวทนา เกิดได้ด้วยเหตุ 6 ประการ คือ 1. กรรมเก่าของเรา 2.เหตุแห่งดินฟ้าอากาศ 3.กรรมของคนอื่น 4. สุขภาพของเรา 5. เตรียมตัวไม่สม่ำเสมอ 6. กรรมในปัจจุบัน
- วิธีปรับจิตให้อยู่กับเวทนาได้อย่างสบายใจ คือ นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วทำสิ่งที่ควรทำ เว้นสิ่งที่ควรเว้น บุญจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาที่อยู่กับทุกขเวทนา เช่น ขันติ อุเบกขา
- “เห็นทุกข์ จึงเห็นธรรม” เพราะทุกข์สังเกตได้ง่าย ทำให้ไม่ประมาท แต่สุข ทำให้เพลินได้ง่าย ทำให้ประมาท แต่ทั้งสุขและทุกข์ ต่างก็ตั้งอยู่ดับไปเช่นกัน สุขเวทนาและทุกขเวทนาจึงนำมาซึ่งทุกข์พอ ๆ กัน
Q8: ความคิดในจิตสุดท้าย
A: จิตสุดท้าย ให้นึกถึงสิ่งที่เป็นกุศลธรรมที่เคยได้ทำ จะนำไปสู่สุขคติ เช่น การทำบุญทำทาน รักษาศีล ดูแลพ่อแม่อย่างดี เคยไปบวชไปปฏิบัติธรรม นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ นึกถึงการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของเรา จะทำให้เป็นผู้มีสติ ไม่ลืมหลง เกิดสมาธิ อย่างน้อยก็ได้เป็นพระอนาคามี มีพรหมโลกเป็นที่ไป
- ด้วยจิตสงบ มีสมาธิแล้ว ถ้าพิจารณาให้เกิดปัญญาว่า “ทุกสิ่งเป็นของไม่เที่ยง” ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ ไม่ก่อนไม่หลังความตาย
- ขอให้มีสติ ไม่หลง ไม่เพลิน ไม่ประมาท ฝึกจิตให้นึกถึงสิ่งที่เป็นกุศลธรรมอยู่เสมอ นึกถึงความตายวันละหลาย ๆ รอบ เป็นมรณานุสติ
การนึกถึงความตายด้วยปัญญาอย่างถูกต้อง ก็จะพ้นจากความตายได้
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ช่วงไต่ตามทาง: บนบานเพื่อได้ยอดขาย/สอบติด
- ผู้ฟังท่านนี้เป็นนักขายประกัน มีศรัทธาตั้งมั่นในพระรัตนตรัย ไม่เชื่อว่าการบนบานจะช่วยเพิ่มยอดขายได้ แต่เพื่อนร่วมวงการไปบนบานแล้วได้ลูกค้าเพิ่ม และลูกค้าของผู้ฟังก็ให้หมอดูก่อนทำประกัน เกิดความลังเลว่าจะไปบนบานบ้างดีหรือไม่ แต่ในใจก็แย้งเพราะมีศรัทธาตั้งมั่นในพระรัตนตรัย
- ผู้ฟังอีกท่าน มีศรัทธาตั้งมั่นในพระรัตนตรัย ลูกจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้พาลูกไปบนบานศาลกล่าวที่ใด ต่างกับเด็กคนอื่น
- ความมั่นใจอันหยั่งลงมั่นไม่หวั่นไหวในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ สามารถยังประโยชน์ให้ถึงความสำเร็จในชีวิตได้
ช่วงปรับตัวแปรแก้สมการ: อธิษฐานสู่ความสำเร็จ
ความงมงาย กับ การอธิษฐาน
- งมงาย = ศรัทธาที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา
- อธิษฐาน = การตั้งใจมั่นอย่างแรงกล้าที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่เป็นการ “สร้างเหตุ” ที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จ ไม่ใช่อธิษฐานเพื่อขอผลสำเร็จ โดยจะมีเครื่องบูชาหรือไม่ก็ได้ สำคัญอยู่ที่ใจ
- การอธิษฐานไม่ใช่การบนบานหรืออ้อนวอนขอร้อง
- พระพุทธเจ้าสอนว่า “ถ้าลำพังคนเราจะได้อะไร เพียงจากการอ้อนวอนขอร้องแล้ว จะไม่มีใครเสื่อมจากอะไร”
- การอ้อนวอนขอร้องไม่ใช่หลักการของคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยสิ้นเชิง สิ่งที่ท่านให้ทำ คือ “อธิษฐาน”
การบูชาสิ่งที่ควรบูชาเป็นมงคลอย่างยิ่ง
- การบูชา ไม่ใช่การอ้อนวอนขอร้อง
- การบูชาบรรพบุรุษ หรือเทพเจ้า ให้บูชาในคุณความดีให้เข้ามาอยู่ในจิตใจ เช่น ความเมตตากรุณาที่ท่านเลี้ยงดูมา คุณความดีของเทพเจ้า เช่น ความกล้าหาญ ความซื่อสัตย์ ความเพียร
- เครื่องบูชา มี 2 รูปแบบ ได้แก่
1. การให้ทานโดยมีผู้รับ
2. การบูชายัญโดยไม่มีผู้รับ
- ความเชื่อที่ว่า ยัญที่บูชาแล้วมีผล ทานที่ให้แล้วมีผล เป็นสัมมาทิฏฐิ
อธิษฐานสร้างเหตุนำไปสู่ความสำเร็จ
- ระเบียบวินัย นำไปสู่ความสำเร็จ
- วิธีตั้งจิตอธิษฐาน
1. เริ่มต้นให้ตั้งจิตยินดีนึกถึงศีลหรือคุณความดีของสิ่งที่อธิษฐานต่อ เช่น คุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สังฆคุณ 9 ของครูบาอาจารย์ ความดีของเทพเจ้าต่าง ๆ ศีลของพญานาค สังคหวัตถุ 4 ของท้าวเวสสุวรรณ พรหมวิหาร 4 ของท้าวมหาพรหม
2. บูชาด้วยสิ่งของต่าง ๆ ที่ไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์
3. ให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า “เพื่อให้ได้ผลนี้ ฉันจะสร้างเหตุดังนี้ ไม่ว่าจะมีอุปสรรคใด ก็จะไม่เลิกความเพียรนี้”
พระพุทธเจ้าอธิษฐานสร้างเหตุ
- การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากที่สุด พระพุทธเจ้าอธิษฐานสร้างเหตุที่ใต้ต้นโพธิ์
ความมั่นใจและความศรัทธา
- กำลังใจในการทำความเพียร (วิริยะ) = ความมั่นใจ = ความศรัทธา = ความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผลและปัญญา ไม่ใช่งมงาย
- ศรัทธา 4 อย่าง ได้แก่
1. ศรัทธาในเรื่องของกรรม = กฎแห่งกรรม
2. ศรัทธาในผลของกรรม = ผลของกรรมอาจไม่ได้ให้ผลในทันที แต่จะให้ผลในเวลาต่อไป และให้ผลไม่เท่ากัน มากบ้างน้อยบ้าง
3. ศรัทธาว่าสัตว์มีกรรมเป็นของของตน = แต่ละคนต้องรับผิดชอบในการกระทำของตน
4. ศรัทธาในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า = พุทโธ (ทางพ้นทุกข์มีอยู่) ธัมโม (วิธีปฏิบัติเพื่อให้ถึงความพ้นทุกข์มีอยู่) สังโฆ (ผู้ปฏิบัติแล้วพ้นทุกข์ได้จริงมีอยู่) ให้มีศรัทธาในข้อนี้แบบอจลศรัทธา คือ ศรัทธาเหมือนเสาหินยาว 16 ศอก มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 1 ศอก เป็นเสาหินทั้งแท่งไม่มีรอยต่อ ฝังลงไปในดินลึก 8 ศอก โผล่ขึ้นพ้นดินยาว 8 ศอก ทำมุม 90 องศากับพื้นดิน ตบดินให้แน่นอย่างดี ลมจะไม่สามารถพัดเสานี้ให้สั่นคลอนได้ ผู้ที่มีศรัทธาในข้อนี้อย่างเต็มเปี่ยม สามารถยังประโยชน์ให้ไม่ต้องเกิดอีก เป็นพระโสดาบันเข้าถึงกระแสที่จะเข้าสู่พระนิพพานได้
- บุคคลที่มีศีลเต็ม มีศรัทธาเต็ม สามารถยังประโยชน์ในชีวิตนี้ให้สำเร็จได้
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q1: ชาวพุทธสายมู
A: คนมีที่พึ่งดีกว่าคนไม่มีที่พึ่ง เพราะคนมีที่พึ่ง ยังมีความละอายใจกับการทำไม่ดีต่อสิ่งที่นับถือ แต่คนไม่มีที่พึ่งจะทำไม่ดีได้โดยไม่ละอายใจต่อสิ่งใด
- คนมีที่พึ่งไม่ถูกต้อง = ขอให้พ้นทุกข์ด้วยการอ้อนวอนขอร้องต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่การอ้อนวอนขอร้องไม่ใช่วิธีที่ทำให้พ้นทุกข์ได้ เพราะถ้าใช่ โลกนี้จะไม่มีใครเสื่อมจากอะไร ไม่มีคนเจ็บป่วย ซึ่งความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น
- คนมีที่พึ่งถูกต้อง = คือ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง แล้วรู้ธรรมะ เห็นธรรมะ ใช้ธรรมะเป็นที่พึ่ง คือ การใช้ตนเป็นที่พึ่ง ทุกข์หนักอยู่ที่ใจ ถ้าจิตใจตั้งไว้ถูกต้อง ก็จะปล่อยวางทุกข์ได้ จิตใจจะเบาลงได้ โดยไม่ต้องอ้อนวอนขอร้องต่อสิ่งใด
- อิทธิปาฏิหาริย์ในพระพุทธศาสนามีมาก หลายชั้น แต่ไม่ใช่เรื่องการอ้อนวอนขอร้อง ไม่ได้มีสิ่งใดบันดาล แต่เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจที่เกิดจากอำนาจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
- มรรค 8 (ศีล สมาธิ ปัญญา) ที่เกิดจากการมีศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดในชีวิตได้ ทำกรรมดีก็จะได้ผลดี กรรมนั่นแหละ คือ ปาฏิหาริย์ของการกระทำที่จะให้ผลเกิดขึ้นกับตัวเรา หากเข้าใจได้เช่นนี้ นั่นคือ ปัญญา อภินิหารต่าง ๆ จึงจัดอยู่ในส่วนของปัญญา
Q2: ทำบุญใส่ซองให้พระ/ใส่ในบาตร/ตู้บริจาค
A: พุทธพจน์ = เงินและทองไม่ควรแก่สมณะ เงินและทองควรแก่ฆราวาสเท่านั้น สมณะไม่ควรยินดีในการรับเงินและทอง แต่สามารถรับปัจจัยสี่ที่ควรแก่สมณะจะบริโภคที่เกิดจากเงินและทองนั้นได้ โดยให้มี “ไวยาวัจกร” ผู้ที่ทำการแทนสงฆ์
- ไวยาวัจกร ต้องเป็นอุบาสก หรือคนทำการในอารามนั้นที่ไม่ใช่ผู้หญิง
- เมื่อพระต้องใช้ปัจจัยสี่ที่ควรแก่สมณะจะบริโภคสิ่งใด ก็จะไปบอกไวยาวัจกรให้ช่วยจัดหาให้ ไวยาวัจกรก็จะนำเงินที่โยมทำบุญไปจัดหามาให้พระ
- การให้ทาน ต้องหวังเอาบุญ จึงต้องทำต่อเนื้อนาบุญ (ผู้ที่มีราคะ โทสะ โมหะ เบาบาง)
Q3: Internet ประตูสู่ความเสื่อมของพุทธศาสนา
A: พระพุทธศาสนาเคยเสื่อมจากประเทศอินเดียที่เป็นต้นกำเนิดของศาสนา ทั้งที่สมัยนั้นยังไม่มี Internet แต่เพราะมีมิจฉาทิฏฐิ ทำให้ความเข้าใจที่ถูกต้องค่อย ๆ หายไป
- เหตุแห่งความเสื่อมของพุทธศาสนา คือ พระเถระไม่ใส่ใจในการปฏิบัติอย่างจริงจัง ไม่ทรงจำคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้องดีงาม ไม่ได้บอกสอนต่อกันไป สนใจแต่เรื่องชื่อเสียง ลาภสักการะ
- เทคโนโลยี เป็นผัสสะรูปแบบหนึ่ง มีการสื่อสารข้อมูล ผัสสะจะเป็นตัวกระตุ้นกิเลส จึงต้องสำรวมอินทรีย์ ตั้งสติไว้ให้ดี
- Internet เป็นเครืองมือในการเผยแพร่คำสอนได้
Q4: พระเล่น Internet
A: ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่การละเล่นอันเป็นข้าศึกต่อกุศลธรรม (กระตุ้นราคะ โทสะ โมหะ) ก็ทำได้ ไม่ผิดศีล ไม่อาบัติ
- การผ่อนคลายสำหรับพระสงฆ์ คือ การนั่งสมาธิ ไม่ใช่การดูซีรีส์
Q5: ภาระของพระสงฆ์
A: ภาระ = ของหนัก
- เมื่อบวชเป็นพระ ก็ต้องรับภาระในการทรงจำคำสอนของพระพุทธเจ้า ทำข้อวัตรปฏิบัติต่าง ๆ
- สมบัติ/ประโยชน์ที่จะได้รับในพุทธศาสนาก็มีมากเช่นกัน เป็นเรื่องเบาใจ เช่น มีความปล่อยวาง มีจิตสงบ มีปัญญา มีสมาธิ
- ต้องมีความคิดแบบม้าอาชาไนย ต่อให้ใครไม่ทำ เราก็จะทำ
- เมื่อรับภาระแล้ว ให้มุ่งที่ผลประโยชน์ที่จะได้รับ ก็จะมีกำลังใจในการปฏิบัติ
Q6: ความผิดพลาดในชีวิต
A: ถ้ามองแต่จุดที่ผิดพลาด ก็จะโฟกัสที่จุดนั้น สิ่งนั้นก็จะมีพลัง ทำให้กิเลสเพิ่มขึ้น (ราคะ โทสะ โมหะ เพิ่มขึ้น)
- แต่ถ้ามองข้อผิดพลาดนั้นว่า เป็นโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง พัฒนาข้อผิดพลาดให้ดีขึ้น = เป็นสัมมาทิฏฐิ (ราคา โทสะ โมหะ เบาบางลง) เกิดสัมมาวายามะ (ความเพียร) เกิดความแน่วแน่จริง การลงมือทำจริง ข้อผิดพลาดนั้นก็จะเปลี่ยนแปลงพัฒนาให้ดีขึ้นได้
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ช่วงไต่ตามทาง: ทำงานที่ใหม่/ที่เดิม
- ผู้ฟังท่านนี้ได้รับข้อเสนอจากที่ทำงานใหม่ที่ดีกว่าที่เดิม แต่ก็ลังเลใจเพราะที่ทำงานเดิมก็ดีอยู่แล้ว จึงปรึกษาคนรอบข้าง แต่ก็ได้รับความเห็นต่างกัน จึงตัดสินใจไม่ได้
- สภาวะกำกวม กังวลใจ ความสับสน ความไม่แน่ใจ ความไม่มั่นใจ ความเคลือบเคลืองสงสัย เห็นแย้ง เรียกว่า “วิจิกิจฉา”
ช่วงปรับตัวแปรแก้สมการ: ปัญญากับสถานการณ์ที่ยากต่อการตัดสินใจ
ตัวเรา คือ คนที่รู้ตัวเราดีที่สุดว่า สถานการณ์เป็นอย่างไร ต้องการสิ่งไหน จะดำเนินชีวิตไปอย่างไร แต่ที่ตัดสินใจไม่ได้ เพราะจิตของเราไม่ได้ตั้งอยู่ในสถานะที่จะบอกได้ เพราะยังมีความไม่ลงใจ มีความเคลือบแคลงใจ เรียกว่า “วิจิกิจฉา” ซึ่งทางออกของปัญหานั้น คือ “ทางสายกลาง”
ทางสายกลาง = มัชฌิมาปฏิปทา องค์ประกอบอันประเสริฐ 8 อย่าง (ศีล สมาธิ ปัญญา)
- การตัดสินใจไม่ได้ เป็นมิจฉาสังกัปปะ ยังไม่อยู่ในทางสายกลาง
- ความขัดแย้งกันในตัวเอง ต้องใช้ปัญญาเท่านั้นจึงจะเข้าใจ
- “ปัญญา” เกิดได้ด้วยการคิดอย่างเป็นระบบตามอริยสัจสี่ (โยนิโสมนสิการ) ด้วยจิตอันเป็นสมาธิ เรียกว่า การพิจารณา เมื่อพิจารณาแล้วก็จะเกิดปัญญา
วิธีทำให้เกิดปัญญา (ทำให้จิตว่าง) 2 วิธี
วิธีที่ 1 นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
- จิตจะเกิดความสบายใจ เพราะเมื่อเราตริตรึกเรื่องไหน จิตจะน้อมไปในเรื่องนั้น จิตน้อมไปในเรื่องไหน สิ่งนั้นจะมีพลัง
- เมื่อเรานึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างถูกต้องดีงาม ประกอบด้วยปัญญา อันเป็นศรัทธาที่ใช่แล้ว เราจะมีปีติสุข คือ ความอิ่มเอิบใจ ความสบายใจเกิดขึ้นในภายใน ความเครียด ความกังวลใจ ภายในใจ ก็จะหยุดลงครู่หนึ่ง ณ จังหวะนั้น เราหยุดความกังวลใจได้ หยุดสิ่งที่ไม่ควรทำได้ และเราก็จะสามารถทำสิ่งที่ควรทำ ควรเจริญ ให้เกิดขึ้นได้ ณ จุดนั้น แล้วก็ต้องรักษาสภาวะแบบนี้ไว้ ก็จะไม่กลับไปกังวลใจอีก
วิธีที่ 2 เจริญพรหมวิหาร 4
- เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
วิธีพิจารณาสถานการณ์ที่ยากต่อการตัดสินใจ
- เมื่อจิตสงบแล้ว ให้ยกเอาสิ่งสถานการณ์ที่เป็นปัญหาขึ้นมาพิจารณา ทีละทางเลือก ด้วยจิตอันสงบ แล้วสังเกตดูจิตของเราว่าแจ่มใสขึ้น หรือเศร้าหมองลง ร้อนหรือเย็น ทำ 3 ครั้ง 3 วัน จดไว้ แล้วตัดสินใจตามนั้น อย่าเปลี่ยนการตัดสินใจอีก เดินหน้าอย่างเดียว
- การตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ทุกข์ก็มี สุขก็มี ต้องเจอปัญหา ปรับตัว ให้มีการพัฒนา บ่มเพาะให้จิตใจมีความเข้มแข็ง เรียนรู้จากประสบการณ์
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q1: พระสงฆ์ สีกา กับ วิกฤติแห่งศรัทธา
A: พระพุทธเจ้าบัญญัติ “พระวินัย” เพื่อให้คนที่ยังไม่มีศรัทธา ให้มีศรัทธา ให้คนที่มีศรัทธาอยู่แล้ว ให้มีศรัทธามากยิ่งขึ้น เพราะมีพระวินัย พระพุทธศาสนาจึงดำรงมาได้จนถึงทุกวันนี้
แง่มุมที่ 1 = เป็นเรื่องที่ดี ที่อุบาสก อุบาสิกา ในปัจจุบัน ยังมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า พฤติกรรมเสพเมถุนของพระสงฆ์กับสีกาในข่าว เป็นสิ่งไม่ดี ซึ่งเป็นกระบวนการป้องกันการประพฤติมิชอบในศาสนา
แง่มุมที่ 2 = ความมหัศจรรย์ของธรรมวินัย จะมีกระบวนการกำจัดคนไม่ดีออกไป คนทุศีล จะอยู่ไม่ได้ พระพุทธเจ้าเปรียบไว้ เหมือนทะเลจะไม่อยู่รวมกับซากศพหรือเศษสิ่งของ ที่จะถูกพัดให้เกยตื้นขึ้นฝั่งเสมอ
แง่มุมที่ 3 = การปล่อยให้คนไม่ดีอยู่ในหมู่สงฆ์ ก็จะดึงคนอื่นไปไม่ดีด้วย (อ้างได้ว่าคนอื่นก็ทำ) ดังนั้น การตัดคนไม่ดีออกจากระบบ จะทำให้คนอื่นไม่ถูกดึงไปในทางเสื่อมด้วย
- เรื่อง อาบัติ ไม่ได้มีไว้เพื่อเพ่งโทษ แต่เป็นกรอบเพื่อแยกแยะเรื่องดี เรื่องไม่ดี ถ้าไม่ดี ก็ให้แก้ไขปรับปรุง
- อาบัติหนัก = การกระทำที่ผิดพลาด ซึ่งมีกระบวนการแก้ไขได้ยาก เช่น อาบัติสังฆาทิเสส (ต้องติดคุกพระ 6 วัน และต้องนิมนต์พระ 20 รูป มาเพื่อรับฟัง และแก้ไข), อาบัติปาราชิก (เช่น เสพเมถุน ขโมยของ ฆ่ามนุษย์ อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน ต้องขาดจากความเป็นพระ)
- แม้อาบัติหนัก จะแก้ไขได้ยากหรือแก้ไขไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ตกนรกเสมอไป ถ้าปรับปรุงตนเองเป็นฆราวาส รักษาศีล 8 อย่างดี หรือบวชเป็นเณร รักษาศีล 10 อย่างดี ก็สามารถบรรลุธรรมได้
แง่มุมที่ 4 = คำว่า “สีกา” มาจาก อุบาสิกา, คำว่า “ประสก” มาจาก อุบาสก
แง่มุมที่ 5 = จุดเกิดการแก้ไขปรับปรุงตน คือ ตนเตือนตน, คนอื่นเตือนตน, โดนโพสต์ลงโซเซียล, ถูกองค์กรวินิจฉัย, ตกนรก
แง่มุมที่ 6 = การทำผิดศีล เกิดจาก “กิเลส” ล่อลวง ด้วยชื่อเสียง ทรัพย์สมบัติ เพศตรงข้าม
แง่มุมที่ 7 = โทษของการศรัทธาในตัวบุคคล 5 อย่าง 1. เสียความเลื่อมใส 2. ติเตียน 3. เสียใจ 4. เสื่อมจากสัทธรรม 5. เสื่อมศรัทธา
- “ศรัทธา” จึงต้องประกอบด้วย “ปัญญา” เสมอ กล่าวคือ ศรัทธาในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า (ไม่ใช่ตัวพระพุทธเจ้า) (พุทโธ) ศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้า (ธัมโม) และศรัทธาในการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ของพระสงฆ์หรือใครก็ได้ (สังโฆ)
- ปัจจุบัน พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยังคงมีอยู่ ไม่ได้หายไปไหน หากเห็นด้วยปัญญาเช่นนี้ นั่นคือ อจลศรัทธา เป็นศรัทธาที่ไม่หวั่นไหว ไม่คลอนแคลน
Q2: การลาสิกขา
A: การลาสิขา จะสำเร็จประโยชน์ต่อเมื่อ มีบุคคลที่เป็นพระสงฆ์ (ที่ไม่ปาราชิก) คนเดียว รับฟังว่า จะไม่อยู่เป็นพระแล้ว ขอลาสิกขา เพียงเท่านี้ ทำที่ไหนก็ได้
- ถ้าอาบัติปาราชิก บวชใหม่เป็นพระไม่ได้ แต่บวชเป็นเณรได้ ถ้าอาบัติอื่น บวชใหม่เป็นพระได้
- เรื่องเบาใจในศาสนานี้ยังมีอยู่ เช่น การเจริญเมตตา ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเจริญพรหมวิหาร 4 แม้ชั่วลัดมือเดียว ก็ได้ชื่อว่าทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่เหินห่างจากฌานแล้ว จะมีนิพพานเป็นที่สุดจบได้นั่นเอง
Q3: ข้อปฏิบัติของพระสงฆ์ต่อสีกา
A: พระวินัย บัญญัติไว้แล้ว เช่น อย่ามอง, อย่าคุย, ถ้าต้องคุย ให้คุยเรื่องธรรมะ และห้ามเกิน 6 คำ, ถ้าต้องคุยเกิน 6 คำ ต้องมีผู้ชายอื่นอยู่ด้วย, ห้ามอยู่สองต่อสองในที่ลับหู ลับตา, ถ้าต้องอยู่สองต่อสองในที่ลับหู ลับตา หรือไม่ลับตา แต่ลับหู ก็ต้องยืน ห้ามนั่ง
- ให้รักษาศีล ตรวจสอบตนเองอยู่เป็นประจำ สำรวมอินทรีย์ ไม่ประมาท ในธรรมวินัยนี้ เป็นคำสอนสำหรับผู้ตั้งเจตนาดี มีปัญญา มีศรัทธา รู้จักแก้ไขปรับปรุงตัว ก็จะไม่เสีย มีแต่เจริญ
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ช่วงไต่ตามทาง: ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง
- ผู้ฟังท่านนี้เป็นข้าราชการ ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง เพราะคนที่อาวุโสน้อยกว่า ความสามารถน้อยกว่า แต่มีเส้นสาย ได้รับการเลื่อนตำแหน่งข้ามตนเองไป แต่ผู้ฟังท่านนี้ก็อดทน ไม่โกรธ ตั้งใจทำงานต่อไปอย่างดี ต่อมา หัวหน้าแผนกอื่นเห็นความสามารถจึงชักชวนไปอยู่ที่ส่วนงานอื่น ท้ายที่สุด ผู้ฟังท่านนี้ก็ได้เลื่อนตำแหน่งและทำงานด้วยความสุขใจ
- การที่เราตั้งอยู่ในความดี รักษาความดีของตนไว้อยู่ตลอด ปรับปรุงแก้ไขตนเองให้ดีอยู่เสมอ เป็นกุศลกรรม เป็นประโยชน์ แม้จะมีสิ่งที่ไม่น่าพอใจเกิดขึ้นบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ความดีนั้นจะให้ผลแน่นอน แต่อาจออกมาในรูปแบบอื่นที่ไม่คาดคิดได้
ช่วงปรับตัวแปรแก้สมการ: วิธีรับมือกับสิ่งไม่น่าพอใจ 5 ประการ
- เมื่อพบเจอสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ต้อง “มีสติ” รู้ว่าความไม่น่าพอใจเกิดขึ้นแล้ว จากนั้นให้ทำวิธีใดวิธีหนึ่งใน 5 วิธีนี้ เพื่อทำให้จิตใจตั้งอยู่ในกุศลธรรม กำจัดอกุศลธรรมออกไปจากใจ
- วิธีที่ 1 คิดเรื่องอื่น = ให้คิดเรื่องอื่นในทางสว่าง ไม่ใช่ทางที่ผิดศีล ตัวอย่าง กรณีนางปฏาจารา กรณีนางวิสาขา
- วิธีที่ 2 เห็นโทษของสิ่งที่ไม่น่าพอใจนั้น = ให้ละอกุศลธรรมในใจทันที ด้วยการเห็นโทษของสิ่งนั้น เช่น โทษของความโกรธ คือ ผิวพรรณไม่งาม นอนไม่เป็นสุข ได้รับความเสื่อม มีโภคทรัพย์น้อย ความไม่ดีเกิดขึ้นกับตน เสื่อมจากมิตร
- วิธีที่ 3 ไม่นึกถึงเรื่องที่ไม่น่าพอใจนั้นเลย = เอาจิตไปเข้าสมาธิแทน ตัวอย่าง กรณีพระมหาปันถก
- วิธีที่ 4 มองแง่มุมอื่นที่เป็นกุศล = ตัวอย่าง กรณีพระปุณณะ ไปอยู่ที่เมืองสุนาปรันตะ กรณีเศรษฐีตีนแมว
- วิธีที่ 5 อดทนต่อสิ่งที่ไม่น่าพอใจ = เช่น การนั่งสมาธิ
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q1: หลักธรรมนำองค์กรสู่ความสำเร็จ
A: หัวหน้าต้องมีสังคหวัตถุ 4 = ธรรมะที่จะประสานหมู่ชนให้สามัคคีกันได้
1. ทาน = ให้ เสียสละ แบ่งปัน
2. ปิยวาจา = พูดจาดีต่อกัน ไม่ทิ่มแทง ไม่พูดคำหยาบ
3. อัตถจริยา =ประพฤติประโยชน์ ช่วยเหลือกัน
4. สมานัตตตา = มีตนเสมอกัน นัยแรก เสมอต้นเสมอปลายในทาน ปิยวาจา และอัตถจริยา นัยสอง มีเป้าหมายร่วมกัน นัยสาม มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ขององค์กรเช่นเดียวกับผู้อื่น
- หัวหน้าต้องมีพรหมวิหาร 4 = ธรรมะเพื่อการรักษาความเป็นผู้ใหญ่ของตน (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา)
- บุคคลในองค์กรต้องมีอิทธิบาท 4 = ธรรมะเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา)
Q2: ทำงานอย่างไรให้จิตใจเป็นสุข
A: งานทุกอย่างสามารถสร้างกุศลธรรมให้เกิดขึ้นในงานนั้นได้ (ยกเว้นงานที่ทำผิดศีล) เช่น สร้างความดี รักษาศีล ทำสังควัตถุ 4 เจริญอิทธิบาท 4 มีพรหมวิหาร 4 เป็นต้น ให้ตั้งความพอใจไว้ตรงนี้ ก็จะเกิดสันตุฏฐี = ความสันโดษ (พอใจในสิ่งที่มี ไม่ไปตามอำนาจความอยาก) ทำให้รักษาจิตให้เป็นสุขได้ ส่งผลให้เจริญอิทธิบาท 4 ได้ดียิ่งขึ้น ก็จะนำไปสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงานได้
Q3: การทำงานเป็นทีม
A: นอกจากสังคหวัตถุ 4 แล้ว ต้องมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นด้วย
- หัวหน้าต่อลูกน้อง (ตามหลักทิศ 6) = ให้ของที่มีรสประหลาด ให้ทำงานตามกำลัง มีรางวัลวันหยุด ดูแลยามเจ็บไข้
- ลูกน้องต่อหัวหน้า (ตามหลักทิศ 6) = ทำงานเต็มที่ ไม่ถือเอาทรัพย์ที่เจ้านายไม่ได้ให้ มาทำงานก่อน เลิกงานทีหลัง
Q4: ธรรมะสำหรับชีวิตคู่
A: ฆราวาสธรรม 4 = ธรรมะสำหรับผู้ครองเรือน
1. สัจจะ (ความจริง) = นัยแรก ให้ความจริงต่อกัน นัยสอง เห็นความจริงของโลก (อริยสัจ, อนิจจัง, อนัตตา)
2. ทมะ (การฝึกตน)) = ฝึกข่มบังคับใจตน ปรับเปลี่ยนตนเอง
3. ขันติ (ความอดทน) = อดทนต่อสิ่งที่ไม่น่าพอใจ พฤติกรรมที่ไม่ชอบ
4. จาคะ (ความเสียสละ)
- ความรักด้วยราคะ = ต้องการเงื่อนไขตอบแทน
- ความรักด้วยเมตตา = ไม่ต้องการเงื่อนไขใดตอบแทน ไม่มีประมาณ ไม่มีขอบเขต
- ความอดทนที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของราคะซึ่งอยู่ไม่นิ่ง ความอดทนนั้นจะอยู่ได้ไม่นาน ทนได้แค่ไหน ก็อยู่ด้วยกันได้เท่านั้น
- แต่ความอดทนที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเมตตา ความอดทนนั้นจะตามมาด้วยพรหมวิหาร 4 ข้ออื่น รวมถึงอุเบกขา
- สามีภรรยาไม่สามารถเปลี่ยนอีกฝ่ายให้เป็นในแบบที่ “อยาก” ให้เป็นได้ จึงต้องฝึกจิตใจให้มีความมั่นคง จึงจะอดทนได้มาก หากมีความอยากมาก จิตใจก็จะไม่มั่นคง
Q5: ภรรยา 7 ประเภท และหน้าที่ของสามี
A: ภรรยา 7 ประเภท
1. ภรรยาเสมอด้วยเพชฌฆาต = จ้องทำร้ายสามี
2. ภรรยาเสมอด้วยโจร = ขโมยของสามี, มีชู้
3. ภรรยาเสมอด้วยเจ้านาย = ชอบออกคำสั่งกับสามี
4. ภรรยาเสมอด้วยแม่ = คอยดูแล เตือนสามี
5. ภรรยาเสมอด้วยพี่สาวน้องสาว
6. ภรรยาเสมอด้วยเพื่อน
7. ภรรยาเสมอด้วยทาสี
- ข้อ 1-3 ไม่ดี ทำให้จิตใจตั้งอยู่ในทางอกุศล
- ข้อ 4-7 ดี ทำให้จิตใจตั้งอยู่ในทางกุศล
- หน้าที่ของสามีต่อภรรยา 5 ประการ
1. ยกย่องภรรยา
2. ไม่ดูหมิ่นภรรยา
3. ไม่ประพฤตินอกใจ
4. มอบความเป็นใหญ่ในหน้าที่ให้
5. ให้เครื่องประดับ
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.