ตามประเพณีที่ทำสืบต่อกันมา เครื่องรองรับพระสงฆ์ส่วนใหญ่จะเป็นหมากพลู น้ำร้อน น้ำเย็น และกระโถน และหากเจ้าภาพต้องการให้พระสงฆ์ทำน้ำมนต์ก็ต้องเตรียมภาชนะสำหรับทำน้ำมนต์ไว้ด้วย โดยจะต้องวางไว้ทางขวามือของพระรูปนั้น ๆ และประเคนตั้งแต่ข้างในออกมา
ภาชนะสำหรับทำน้ำมนต์ ใช้หม้อน้ำมนต์ที่มีฝาครอบ (เรียกว่า ครอบน้ำมนต์) บาตร หรือขันทองเหลือง (เว้นขันเงิน ขันทองคำ) มีพานรอง, น้ำที่ใช้ทำน้ำมนต์นั้น นิยมใช้น้ำที่ได้มาจากดิน (ไม่นิยมใช้น้ำฝน) ใส่ประมาณค่อนภาชนะ เทียนน้ำมนต์นิยมใช้เทียนขี้ผึ้งแท้ ขนาดหนัก 1 บาทเป็นอย่างต่ำ ตั้งเตรียมไว้หน้าโต๊ะบูชา เยื้องมาให้ใกล้พระสงฆ์รูปที่ 1
วงด้ายสายสิญจน์ ควรโยงมาจากฐานพระพุทธรูป วนขวารอบฐานพระพุทธรูป โยงมาที่บาตรหรือภาชนะน้ำมนต์ วนขวาที่ภาชนะน้ำมนต์ วางไว้บนพาน ตั้งใกล้อาสนะพระเถระผู้เป็นประธานในพิธี และไม่ควรข้ามด้ายสายสิญจน์
เนื่องจากพิธีทำบุญเลี้ยงพระเป็นพิธีมงคลจึงควรเตรียมสถานที่ให้สะอาด เรียบร้อย ตระเตรียมที่ตั้งพระพุทธรูปพร้อมทั้งเครื่องบูชา ควรใช้โต๊ะหมู่ 5 - 7 - 9 ของบนโต๊ะบูชามีพระพุทธรูป ๑, กระถางธูป ๑, เชิงเทียน ๒, แจกันดอกไม้สด ๒, และเพิ่มอะไรที่สมควรให้มากกว่านี้ก็ได้
การตั้งพระพุทธรูปควรตั้งให้อยู่ทางขวามือของพระสงฆ์ หันพระพักตร์ไปทางทิศเดียวกันกับพระสงฆ์ แต่ถ้าสถานที่ไม่อำนวย ก็จัดตามความเหมาะสม
เมื่อเจ้าภาพเลือกวันฤกษ์ดี ต้องเตรียมความพร้อมด้วยการขอนิมนต์พระล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นพระสงฆ์อาจติดกิจนิมนต์งานอื่นทำให้ไม่สามารถมางานของเราได้ ปกติแล้วการนิมนต์พระสงฆ์มาทำบุญเลี้ยงพระจะนิยมนิมนต์พระสงฆ์เป็นจำนวนคี่ เช่น 5, 7 หรือ 9 โดยกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำไว้ว่าไม่ต่ำกว่า 5 รูป แต่ไม่ได้กำหนดจำนวนข้างมาก ยกเว้นในงานแต่งที่นิยมนิมนต์พระสงฆ์เป็นจำนวนคู่ เนื่องจากแบ่งให้ฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวนิมนต์พระมาในจำนวนที่เท่ากันนั่นเอง และในการนิมนต์พระต้องแจ้งรายละเอียดให้ชัดเจนว่าเป็นพิธีอะไร แจ้งสถานที่จัดงาน จำนวนพระสงฆ์ที่ต้องการนิมนต์ และวิธีการเดินทางว่าจะให้พระสงฆ์เดินทางมาเองหรือมีรถรับ-ส่ง
การทำบุญเลี้ยงพระ เป็นหนึ่งในกิจกรรมทางพุทธศาสนาที่เราคนไทยคุ้นชินกันมากที่สุด พิธีทำบุญเนื่องด้วยประเพณีในครอบครัว มี ๒ ประเภท คือ ทำบุญงานมงคลและทำบุญงานอวมงคล
คนส่วนใหญ่มักเลือกทำบุญโดยกำหนดวันจากฤกษ์ดีหรือฤกษ์สะดวก แต่ปกติแล้วจะนิยมเลือกวันทีตรงกับที่เป็นอธิบดีและธงชัย โดยเลี่ยงวันอุบาทว์และโลกาวินาศ
วันที่กำหนดพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพระราชพิธีเก่าแก่มาแต่โบราณที่เสริมสร้างให้เกิดขวัญกำลังใจแก่เกษตรกรของชาติ ปัจจุบันคือวันพืชมงคล
พระราชพิธีพืชมงคลได้เริ่มมีขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นพระราชพิธี 2 พิธี รวมกันคือ พระราชพิธีมงคลอันเป็นพิธีสงฆ์อย่างหนึ่ง กับพระราชพิธีจรด พระนังคัลแรกนาขวัญ อันเป็นพิธีพราหมณ์ โดยพิธีสงฆ์จะจัดในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญจะประกอบพระราชพิธีในวันรุ่งขึ้น ณ มณฑลท้องสมนามหลว
วันครูได้จัดให้มีขึ้น ครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ. 2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า"คุรุสภา" ซึ่งมีสถานะเป็นนิติบุคคลและให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความ เห็นในเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ จัดสวัสดิการให้แก่ครูและครอบครัว ได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู
การจัดงานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2500 ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นที่จัดงาน งานวันครูนี้ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้ให้แก่อนุชนรุ่น หลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญคือหนังสือประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุ
งานวันเด็กแห่งชาติ จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม พ.ศ.2498 ตามคำเชิญชวนของ นายวี.เอ็ม. กุลกานี ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อสวัสดิภาพเด็กระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ เพื่อให้ประชาชนเห็นความสำคัญและความต้องการของเด็ก และเพื่อกระตุ้นให้เด็กตระหนักถึงบทบาทอันสำคัญของตนในประเทศ โดยปลูกฝังให้เด็กมีส่วนร่วมในสังคม เตรียมพร้อมให้ตนเองเป็นกำลังของชาติ
งานวันเด็กแห่งชาติจัดขึ้นทุกปีในวันจันทร์แรกของเดือน ตุลาคม ถึงปี พ.ศ.2506 และในปี พ.ศ.2507 ไม่สามารถจัดงานวันเด็กได้ทัน จึงได้เริ่มจัดอีกครั้งในปี 2508 โดยเปลี่ยนเป็นวันเสาร์ที่สอง ของเดือนม.ค. เนื่องจากเห็นว่าเป็นช่วงหมดฤดูฝนและเป็นวันหยุดราชการ จนถึงทุกวันนี้
การลอยกระทงของชาวเหนือ นิยมทำกันในเดือนยี่เป็ง (คือเดือนยี่หรือเดือนสอง เพราะนับวันเร็วกว่าของเรา 2 เดือน) เพื่อบูชาพระอุปคุตต์ซึ่งเชื่อกันว่าท่านบำเพ็ญบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึกหรือสะดือทะเล ตรงกับคติของชาวพม่า
การลอยกระทงในภาคอีสาน เรียกว่าเทศกาลไหลเรือไฟ จัดเป็นประเพณียิ่งใหญ่ในจังหวัดนครพนม โดยการนำหยวกกล้วยหรือวัสดุต่าง ๆ มาตกแต่งเป็นรูปพญานาคและรูปอื่น ๆ ตอนกลางคืนจุดไฟปล่อยให้ไหลไปตามลำน้ำโขงดูสวยงามตระการตา
ตรุษ หรือที่เรียกกันว่า ตรุษไทยนั้นเป็นเทศกาลหนึ่งของไทย ตรงกับวันแรม 14 คํ่าเดือน 4 ถึงวันขึ้น 1 คํ่าเดือน 5 รวม 3 วัน ตรุษแปลว่าตัดหรือขาด จึงหมายความถึงการตัดปีเก่าให้ขาดไป วันขึ้น 14, 15 ค่ำ เดือน 4 ถือเป็นวันสิ้นปีเก่า และวันขึ้น 1 คํ่าเดือน 5 เป็นวันต้นของปีใหม่
เมื่อผ่านขั้นตอนการเลือกคู่แล้ว การอยู่ร่วมกันเป็นสามีภรรยา ทั้งคู่จะต้องมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติต่อกัน โดยตามประเพณี วัฒนธรรม และความเชื่อในสมัยโบราณ มีการแบ่งหน้าที่ของสามีและภรรยาดังนี้
สามีมีหน้าที่ 5 ประการ คือ ให้ความนับถือ ยอมรับฐานะแห่งภรรยา ยกย่องให้เกียรติ ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยาม มีความซื่อสัตย์ไม่นอกใจ มอบความเป็นใหญ่ หาเครื่องประดับ เครื่องแต่งกายมามอบให้
ภรรยามีหน้าที่ 5 ประการ คือ จัดดูแลงานบ้านให้เรียบร้อย ใส่ใจสงเคราะห์คนข้างเคียงของสามี ซื่อสัตย์ไม่ประพฤติผิดนอกใจ ช่วยประหยัดดูแลรักษาทรัพย์ที่หามาได้
ในการแต่งงานสมัยโบราณ บางทีฤกษ์ส่งตัว อาจจะมีกำหนดหลังจากวันแต่งหลายวัน เจ้าบ่าวจะต้อง มานอนเฝ้าเรือนหอ อาจเป็น 3 คืน 5 คืน หรือ 7 คืน ต้องรอไปจนกว่าจะถึง ฤกษ์เรียงหมอน ส่งตัวเจ้าสาว ในตอนค่ำเจ้าสาว จะส่งผ้านุ่งมาให้เพื่อให้เจ้าบ่าวผลัดนุ่ง เรียกว่า “ผ้าห้อยหอ” ระหว่างที่นอนเฝ้าหอ ผู้ใหญ่ ฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาว จะจัดมหาบัณฑิต ผู้รอบรู้มาฝ่ายละ 2 คน เพื่อสวดมาลัยสูตร เป็นการอบรมสั่งสอน ให้เจ้าบ่าวรู้จักหน้าที่ และความประพฤติดีมีน้ำใจ รู้บาปบุญคุณโทษ บางทีเปลี่ยนจากสวดมาลัยสูตร เป็น กล่าวคำสั่งสอน ด้วยทำนองและเสียงอันไพเราะ หรือมีดนตรีปี่พาทย์บรรเลง เป็นการกล่อมหอ การบรรเลง กล่อมหอนี้ บางทีก็ทำกันในคืนส่งตัวก็มี
สาเหตุที่ใช้หอยสังข์ มาเป็นภาชนะใส่น้ำมนต์หลั่งอวยพรให้คู่บ่าวสาวนั้น เพราะถือกันว่า หอยสังข์เป็นหนึ่งใน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ 14 อย่าง อันเกิดจาก การกวนเกษียรสมุทร ของเหล่าเทวดาและอสูร
มีตำนานเกี่ยวกับ ความเป็นมาของหอยสังข์อีกหลายนัย เช่น ครั้งหนึ่งสังข์อสูรได้ลักเอาพระเวท ไปซ่อนไว้ ในหอยสังข์ พระนารายณ์ได้อวตารไปปราบและสังหาร แล้วทรงล้วงเอาพระเวทออกมาจากสังข์ ทำให้ปากหอยสังข์ มีรอยพระหัตถ์ของพระนารายณ์ จึงถือว่าสังข์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะเคยเป็นที่รองรับพระเวท การนำมาใส่น้ำมนต์ รดให้คู่บ่าวสาว เชื่อกันว่าเป็นสิริมงคล
การไหว้ญาติผู้ใหญ่หรือพิธีรับไหว้นั้น จะไล่เรียงไปตามลำดับอาวุโส ส่วนใหญ่พ่อแม่ของฝ่ายหญิง ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านจะให้เกียรติโดยให้ทางฝ่ายชาย ทำพิธีรับไหว้ก่อน หรือจะไหว้ ปู่ย่าตายายญาติผู้ใหญ่ ของทั้งสองฝ่ายก่อนก็ได้ ไม่ถือเคร่งครัดนัก
หลังจากทำพิธีรับไหว้เสร็จ เงินรับไหว้ทั้งหมดนั้น คู่บ่าวสาวจะเก็บไว้เป็นเงินทุน อาจมีการเพิ่มเงินทุนให้แก่คู่บ่าวสาวก็ได้
สำหรับพิธีร่วมกันทำบุญตักบาตร ของคู่บ่าวสาวนั้น นิยมกระทำกัน หลังจากทำพิธีรับไหว้ เสร็จเรียบร้อยแล้ว คือเจ้าภาพจะนิมนต์พระ มาสวดเจริญพุทธมนต์ และรับอาหารบิณฑบาต
การตักบาตรนี้ แต่เดิมให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวตักกัน คนละทัพพี ใส่ในบาตรพระทุกองค์ ที่นิมนต์สวดเจริญ พระพุทธมนต์ ต่อมากลายเป็น คู่บ่าวสาวร่วมจับทัพพีเดียวกัน ตักบาตรพร้อมกัน ซึ่งเรื่องนี้เป็นความเชื่อ ว่าหากชายหญิงได้มีโอกาส ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมกัน ต่อไปจะได้เกิดมา เป็นคู่กันทุกชาติ
หลังจากผู้กั้นประตูเงิน ตกลง เปิดทางให้ผ่าน เจ้าบ่าวก็ขึ้นบันได ไปสู่ขอประตูทอง เพื่อเข้าไปในตัวเรือน ในช่วงนี้ จะมีคนแย่ง กันถอดรองเท้าให้เจ้าบ่าว เพราะสามารถนำไปซ่อน เพื่อขอค่าไถ่ได้ในภายหลัง คือ เมื่อขึ้นไปทำพิธี บนบ้านเสร็จแล้ว เจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องลงมาข้างล่าง เพื่อทักทายแขก หรือทำการ ปลูกต้นกล้วยต้นอ้อยร่วมกัน ผู้นำรองเท้าไปซ่อน จะเรียก ค่าไถ่จากเจ้าบ่าว จนเป็นที่พอใจ จึงจะนำมาคืนให้ เป็นการหยอกล้อกัน เพื่อความสนุกสนาน
ก่อนขึ้นบ้านน้องเจ้าสาว จะทำหน้าที่ล้างเท้าให้เจ้าบ่าว ซึ่งทำพอเป็นพิธีเท่านั้น และเจ้าบ่าวต้องให้ซองเงิน หรือ ของแถมพกเป็นรางวัล
สำหรับด่านสุดท้ายหรือประตูทองนั้น ของแถมพกหรือซองเงินที่ใช้ผ่านประตูทองนี้ จะมีราคาสูงกว่า 2 ประตูแรก บางครั้งถ้าฐานะดี ฝ่ายเจ้าบ่าว อาจใช้สร้อยทอง หรือแหวนทอง เป็นค่าผ่านก็มี เมื่อได้ของแถมพกแล้ว ผู้ปิดกั้นประตู จึงยอมเปิดทางให้ผ่าน เฒ่าแก่และฝ่ายเจ้าบ่าว พร้อมเครื่องขันหมาก จึงเข้าไป ในเรือนหรือบ้านของฝ่ายหญิง ทันใดนั้นก็มีการลั่นฆ้องสามลา (ถ้ามี) เป็นฤกษ์ขันหมากถึงเรือนหอ หรือบางที ไม่มีการลั่นฆ้อง ฝ่ายพ่อแม่เจ้าสาว ก็จะออกมาต้อนรับ