สังขตธรรมทั้งปวง ปฏิจจสมุปปันนธรรมทั้งปวง นี้แลคือทุกข์
พระศาสดา เมตตา จำแนก สังขตธรรม ปฏิจจสมุปปันนธรรม
ที่ควรกำหนดรู้ไว้แล้ว
ขอเราทั้งหลายจงใส่ใจ กำหนดรู้ ให้แจ่มแจ้ง ในธรรมนั้น
เมื่อมนสิการโดยแยบคายในขันธ์ห้าอยู่
ย่อมเห็นแจ้งในปฏิจจสมุปบาท
เพราะเห็นปฏิจจสมุปบาท จึงรู้ชัดใน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อริยสาวก ย่อมมนสิการโดยแยบคาย ในปฏิจจสมุปบาท
เพราะนี้คือ การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ความสำคัญสูงสุดของพุทธศาสนา คือ ปฏิจจสมุปบาท
ไม่รู้แจ้งปฏิจจสมุปบาท ไม่สมควรกล่าวธรรม
ไม่รู้แจ้งปฏิจจสมุปบาท จะปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมไม่ได้
การปฏิบัติธรรม ที่ชื่อว่า กรรมทั้งไม่ดำและไม่ขาว หรือ อริยมรรค
พระศาสดาของเราเป็นผู้แรกที่ค้นพบและปฏิบัติให้เกิดขึ้นในโลก
ขอเราจงตั้งใจฟัง เพื่อปฏิบัติตาม อย่างพระศาสดาได้ปฏิบัติมาเถิด
อริยสาวกผู้มีองค์คุณสี่ประการ ย่อมไม่สะดุ้งกลัว ต่อความตายที่จะมาถึง
“ธรรมที่เราได้บรรลุแล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต ไม่เป็นวิสัยแห่งตรรก ละเอียด บัณฑิตจึงจะรู้ได้ สำหรับหมู่ประชาผู้รื่นรมย์ด้วยอาลัย ยินดีในอาลัย เพลิดเพลินในอาลัย
ฐานะอันนี้ย่อมเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก กล่าวคือหลักอิทัปปัจจยตา หลักปฏิจจสมุปบาท
แม้ฐานะอันนี้ก็เป็นสิ่งที่เห็นได้ยากนัก กล่าวคือความสงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสลัดอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา วิราคะ นิโรธ นิพพาน ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม และผู้อื่นจะไม่เข้าใจซึ้งต่อเรา ข้อนั้นก็จะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อยเปล่าแก่เรา จะพึงเป็นความลำบากเปล่าแก่เรา”
ว่าด้วยเรื่องสำคัญตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า การจะเข้าถึงแก่นคำสอน การจะเข้าถึงความเป็นอริยสาวก ต้องรู้ชัด ต้องเข้าใจในเรื่องอะไร เป็นต้น
พระมหาสมณะ ผู้เลิศ ผู้ประเสริฐ ได้บัญญัติหลักการเจริญสติปัฏฐาน
ไว้สมบูรณ์ดีแล้ว
ขอเราผู้มีศรัทธา มีปัญญาดี เดินตามรอยพระบาทพระศาสดาเถิด
แนวทางในการระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ โดยย่อ
เหมาะสำหรับผู้รู้แจ้งแล้วในคำสอนอันลึกซึ้ง ที่พระศาสดาได้ตรัสรู้แล้ว
อริยสัจ ปฏิจจสมุปบาท ธรรมสิบหมวด อาหารสี่ กุศล/อกุศล
เหล่านี้เป็นความรู้เบื้องต้น ที่เราจะต้องรู้ ความรู้เหล่านี้ เป็นความรู้ที่จะทำให้รู้แจ้งโลก รู้แจ้งทุกข์
ความรู้เหล่านี้ จะทำให้เป็นอริยบุคคล มีทัสสนะสมบูรณ์ มีทิฏฐิสมบูรณ์
เสขบุคคล ย่อมอาศัยความรู้เหล่านี้ เพื่อเดินมรรค เพื่อกำหนดรู้ทุกข์ เพื่อละทุกข์ที่ยังละไม่ได้ ในลำดับต่อๆไป
อเสขบุคคล ก็รู้เรื่องเหล่านี้ และได้เดินมรรค ได้กำหนดรู้ทุกข์ จนหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้แล้ว
ว่าด้วยการแสดงธรรมโดยย่อ เหมาะแก่อินทรีย์ของภิกษุแต่ละท่าน เหมาะแก่การนำไปพิจารณา เพื่อการเดินมรรค เพื่อออกจากทุกข์ได้
ว่าด้วยการแสดงธรรมโดยย่อ เหมาะแก่อินทรีย์ของภิกษุแต่ละท่าน เหมาะแก่การนำไปพิจารณา เพื่อการเดินมรรค เพื่อออกจากทุกข์ได้
ธัมมานุสสติ การระลึกถึงพระสัทธรรม
๑. ธาตุหก
๒. ปฏิจจสมุปบาท
๓. ภพสาม
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสังขตธรรม เป็นปฏิจจสมุปปันนธรรม สมัยใดระลึกได้ถึงพระสัทธรรมนี้ แล้วโยนิโสมนสิการ จนรู้แจ้ง เห็นธาตุหก เห็นนามรูปทั้งปวง เป็นสังขตธรรม เป็นปฏิจจสมุปปันนธรรม อันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาได้ สมัยนั้น อริยมรรคย่อมเกิด
พระศาสดา ผู้ประเสริฐ ผู้ตรัสรู้ทุกข์ ผู้รู้แจ้งทุกข์ ผู้รู้แจ้งโลก
พระธรรม อันประเสริฐ อันนำพาสัตว์ออกจากทุกข์ ออกจากโลกทั้งปวงได้
พระสงฆ์ ผู้รู้แจ้ง เห็นชัดในพระธรรม ที่พระศาสดาตรัสรู้ คือ เห็นปฏิจจสมุปบาท เห็นธรรมชาติที่อาศัยกันเกิดขึ้น เห็นสังขตธรรม เห็นปฏิจจสมุปปันนธรรมทั้งปวง เห็นทุกขธรรมทั้งปวง ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ดำเนินไปตามรอยพระบาทพระศาสดา
อริยสัจ ธาตุ อายตนะ ปฏิจจสมุปบาท เรื่องสำคัญสูงสุดทั้งหมดนี้
จะปรากฏแจ่มแจ้ง แก่ผู้ที่แจ่มแจ้งในธรรมสิบหมวด
ผู้ที่พระศาสดาเรียกว่าเป็น สัทธานุสารี ธัมมานุสารี โสดาบัน นั่นเอง
เราได้บอกข้อปฏิบัติแก่สาวกทั้งหลาย สาวกทั้งหลายของเราผู้ปฏิบัติตามรู้ชัดอย่างนี้ว่า ‘กายของเรานี้คุมกันเป็นรูปร่างประกอบขึ้นจากมหาภูตรูป ๔ เกิดจากมารดาบิดา เจริญวัยเพราะข้าวสุกและขนมกุมมาส ไม่เที่ยงแท้ ต้องอบ ต้องนวดเฟ้น มีอันแตกกระจัดกระจายไปเป็นธรรมดา วิญญาณของเรา อาศัยและเนื่องอยู่ในกายนี้’
อาศัยนามรูป อาศัยผัสสะ อาศัยสัญญาไม่วิปลาส อาศัยจิตไม่วิปลาส การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม จึงเกิดขึ้นได้
สัญญาวิปลาส (ยังมีอวิชชา) จิตย่อมวิปลาส(ตัณหาย่อมมี) ทิฏฐิย่อมวิปลาส (มโนกรรม ย่อมเกิดทันทีในทุกอวิชชาผัสสะ)
ภพจะมีได้ อาศัยองค์ประกอบสองประการ
๑. กรรมต้องมี ผืนไร่นาต้องมี จึงเป็นฐานะที่จะเกิดภพได้
๒. วิญญาณาหาร หรือวิญญาณธาตุต้องมี พืชต้องมี จึงเป็นฐานะที่จะเกิดภพได้
หากองค์ประกอบไม่ครบถ้วนทั้งสองประการ การบัญญัติว่า ภพ ภพ จะมีไม่ได้เลย