ครั้งหนึ่ง ณ เมืองสาวัตถี เศรษฐีอนาถบิณฑิกะเป็นผู้มีศรัทธาแรงกล้า ชอบถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์เป็นนิตย์ ถึงขนาดที่บ้านของท่านมีอาหารพร้อมสำหรับพระภิกษุ 500 รูปอยู่เสมอ เปรียบเสมือนบ่อน้ำสำหรับหมู่สงฆ์
วันหนึ่ง พระราชาเสด็จประทักษิณพระนครและทรงเห็นพระภิกษุสงฆ์จำนวนมากที่บ้านเศรษฐีอนาถบิณฑิกะ เมื่อทรงทราบว่าเศรษฐีถวายภัตตาหารแด่ภิกษุ 500 รูปเป็นประจำ พระองค์ก็ปรารถนาจะทำเช่นนั้นบ้าง นับแต่นั้นมา พระราชาจึงทรงให้ข้าหลวงจัดภัตตาหารเลิศรสถวายพระภิกษุ 500 รูปในพระราชนิเวศทุกวัน
แต่กลับเกิดเรื่องน่าแปลกใจขึ้น แม้ภิกษุทั้งหลายจะมารับภัตตาหารอันโอชะจากในวัง แต่พวกท่านกลับไม่ฉัน ณ ที่นั้นเลย ท่านนำภัตตาหารรสเลิศเหล่านั้นไปยังบ้านของอุบาสกอุบาสิกาผู้คุ้นเคย แล้วมอบอาหารจากวังให้แก่คนเหล่านั้น จากนั้นจึงฉันภัตตาหารที่อุบาสกอุบาสิกาผู้คุ้นเคยถวายให้แทน
เมื่อวันหนึ่ง ข้าหลวงไม่พบพระภิกษุรูปใดในโรงภัตตาหารของวัง พระราชาจึงทรงสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุใดภิกษุทั้งหลายจึงทำเช่นนั้น ในเมื่ออาหารที่พระองค์ถวายล้วนเป็นอาหารรสเลิศ พระองค์จึงเสด็จไปเฝ้าพระศาสดาที่พระวิหารเชตวัน และทูลถามถึงสาเหตุ
พระศาสดาทรงตรัสอธิบายว่า "การบริโภคอาหารนั้น ความคุ้นเคยกันเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพราะในพระราชวังของพระองค์ไม่มีผู้ที่ได้ทำความคุ้นเคยกันอย่างสนิทสนม ภิกษุทั้งหลายจึงไปฉันในที่ที่พวกท่านคุ้นเคย" เพื่อให้พระราชาทรงเข้าใจยิ่งขึ้น พระศาสดาจึงทรงนำเรื่องในอดีตกาลมาสาธก (เล่าชาดก) ดังนี้:
ในอดีตนานมาแล้ว เมื่อครั้งพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์ ณ กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ (พระพุทธเจ้าในชาติก่อน) ได้มาเกิดเป็นมาณพนามว่า "กัปปกุมาร" กัปปกุมารเติบโตขึ้นและภายหลังได้บวชเป็นฤๅษี และเป็นศิษย์เอกของพระเกศวดาบส ผู้มีศิษย์ 500 รูป อัธยาศัยใจคอของกัปปดาบสนั้นเป็นที่ถูกใจพระเกศวดาบสอย่างยิ่ง ทำให้ดาบสทั้งสองสนิทสนมคุ้นเคยกันมาก
วันหนึ่ง พระเกศวดาบสพาลูกศิษย์เข้าเมืองพาราณสีเพื่อบิณฑบาต และได้พำนักในพระราชอุทยาน พระราชาทรงเลื่อมใสจึงนิมนต์ให้ฉันอาหารในวัง และให้พำนักอยู่ในพระราชอุทยานตลอดฤดูฝน เมื่อพ้นฤดูฝน พระเกศวดาบสทูลลาเพื่อกลับหิมวันต์ประเทศ แต่พระราชากลับขอให้ท่านอยู่ต่อ โดยให้ศิษย์คนอื่นๆ รวมถึงกัปปดาบสกลับไปก่อน ด้วยเห็นว่าพระเกศวดาบสชราแล้ว
แต่เมื่อพระเกศวดาบสต้องอยู่ห่างจากกัปปดาบสผู้คุ้นเคย ท่านก็รู้สึกรำคาญใจ คิดถึงศิษย์ผู้นั้นจนนอนไม่หลับ และล้มป่วยลงอย่างหนัก แพทย์หลวงทั้งห้าตระกูลที่พระราชาส่งมารักษา ก็ไม่สามารถหาสาเหตุหรือรักษาให้หายได้ เมื่อพระราชาทรงซักถาม พระเกศวดาบสจึงเปิดเผยว่า ตนป่วยเพราะคิดถึงกัปปดาบส และขอให้ส่งตนกลับไปยังหิมวันต์ประเทศ
พระราชาทรงให้ "นารทอำมาตย์" ไปส่งพระเกศวดาบสกลับหิมวันต์ประเทศพร้อมกับพวกพรานป่า ทันทีที่พระเกศวดาบสได้เห็นกัปปดาบสเท่านั้น ความรำคาญใจและความทุกข์ก็สงบลง กัปปดาบสได้ถวายยาคูที่หุงด้วยข้าวฟ่างและลูกเดือย พร้อมกับผักต้มที่ปรุงด้วยน้ำเปล่าไม่เค็ม โรคของพระเกศวดาบสก็ทุเลาลงทันที
เมื่อนารทอำมาตย์กลับไปรายงานอาการ พระราชาทรงเป็นห่วงจึงส่งท่านกลับไปดูอาการอีกครั้ง นารทอำมาตย์พบว่าพระเกศวดาบสหายป่วยแล้วอย่างน่าอัศจรรย์ จึงทูลถามว่าเหตุใดอาหารง่ายๆ ของกัปปดาบสจึงรักษาโรคที่แพทย์หลวงไม่สามารถทำได้
พระเกศวดาบสจึงตรัสว่า "อาหารจะดีหรือไม่ดีนั้น ขึ้นอยู่กับบุคคลผู้คุ้นเคยกันและสถานที่ที่บริโภค การบริโภคในที่ที่คุ้นเคยนั้นย่อมดีกว่า เพราะรสทั้งหลายมีความคุ้นเคยเป็นเยี่ยม"
เมื่อพระศาสดาแสดงพระธรรมเทศนานี้จบลง พระองค์ก็ทรงประชุมชาดก โดยตรัสว่า พระราชาในครั้งนั้นคือพระอานนท์ นารทอำมาตย์คือพระสารีบุตร พระเกศวดาบสคือหมู่มหาพรหม ส่วนกัปปดาบสผู้เป็นที่รักและคุ้นเคยนั้น คือเราตถาคต (พระพุทธเจ้า) นั่นเอง